กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊ นิยาย บท 374

ก้อยได้ยินเสียงจึงหันหน้ากลับไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

สิดาใช้ไม้กวาดฟาดลงบนเอวของก้อยทันที แถมใช้พละกำลังสุดแรงก้อยเจ็บจนต้องสูดลมเย็นๆ เข้าปาก และโผล่ศีรษะออกจากใต้เตียง พร้อมทั้งจ้องมองสิดาด้วยดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าโกรธเคือง “ฉันเอง! ป้าทำอะไรเนี่ย?”

“กะ……ก้อยเหรอเนี่ย?” สิดาโยนไม้กวาดที่อยู่ในมือเธอทิ้งที่พื้นทันที พลันเร่งตรวจสอบช่วงเอวของก้อย “ขอโทษที แม่คิดว่าขโมยเข้าบ้าน รีบให้แม่ดูเอวแกเร็วว่าช่วงเอวไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“หลีกไปนะ แม่ฉันตายไปตั้งนานแล้ว! คุณเป็นป้าฉันไม่ใช่เหรอ?”

ก้อยความรู้สึกโกรธเคืองผสมปนเป พลันผลักสิดาออกอย่างสุดแรงเกิด

สิดามีความรู้สึกว่าตนเองทำร้ายจิตใจก้อยอยู่เต็มอก การถูกผลักไม่ทันระวังแบบนี้ จนทำให้ร่างกายหงายหลัง

ประจวบเหมาะกับท้ายทอยกระแทกชนเข้ากับขาเตียง

สิดาคลำท้ายทอยเล็กน้อย เหมือนจะมีแผลถลอก แถมยังมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย...

แต่เธอก็ไม่ได้สนใจบาดแผลสักนิด รีบลุกขึ้นจากพื้น และวิ่งไล่ตามก้อยอย่างร้อนรน

“ก้อย แกอย่าทำแบบนี้สิ แม่...แม่ก็ไม่มีวิธีอื่น ตอนนั้นแม่เป็นคนบอกกับทุกคนไปว่าแม่ไร้ญาติขาดมิตร ถ้าจู่ ๆ ดันมีลูกสาวโผล่มาหนึ่งคน ถ้าหากณิชาโกรธขึ้นมา จนไล่แม่ออกไป งั้นเราสองคนแม่ลูกก็ไร้ที่พึ่งอีกแล้วนะ...”

ไม้กวาดอันนั้นโชยกลิ่นแปลกประหลาดออกมา ก้อยรู้สึกสกปรกมาก จึงถอดเสื้อคลุมออกไปโยนลงถังขยะ พร้อมทั้งแสดงท่าทางรังเกียจที่สุด

เธอเดินกลับไปยังห้องนอนเพื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ภายในยังแขวนเสื้อผ้าตัวใหม่เอาไว้

ขนาดยังไม่ได้แกะป้ายแบรนด์ที่คล้องเอาไว้ออกด้วยซ้ำ ซึ่งเธอใช้เงินของณิชาหรือสิดาซื้อมาทั้งหมด

หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมทรงหลวมตัวยาวที่มีราคา 25,000 บาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอแสยะยิ้มออกมาอย่างหมดความอดทน “พูดตรงๆ คุณแค่เสียดายชีวิตเลิศหรูของคุณ ตอนนั้นที่ทอดทิ้งฉันกับพ่อก็คงเป็นแบบนี้แหละมั้ง?”

“…” การถูกลูกสาวแท้ๆ เยาะเย้ยใส่แบบนี้ ดวงตาสิดาแดงก่ำ เจ็บปวดหัวใจอย่างสุดทน

เธอแอบปาดน้ำตา เธอคลี่ยิ้มรอยยิ้มเล็กน้อย “แม่เห็นว่าแกเหมือนกำลังควานหาสิ่งของอะไรอยู่ ทำอะไรหายเหรอ?”

เดิมทีก้อยก็ไม่อยากสนใจสิดา เมื่อได้ยินเธอถามออกมาเช่นนี้ จึงแสร้งทำสีหน้าดีๆ ใส่ให้เธออย่างฝืนทน

เธอดึงสิดาเข้าไปในห้องนอน พร้อมทั้งชี้ไปที่ภาพครอบครัวขนาดใหญ่ที่ติดฝากำแพงรูปนั้น

“กำไลที่ณิชาใส่อยู่วงนี้อยู่ที่ไหน?” เธอไม่ใส่อยู่ จึงถามเธอตรงๆ

สิดามองไปตามมือเธอที่ชี้ไป พลันจ้องมองกำไลที่อยู่ในรูปภาพ พร้อมทั้งครุ่นคิดอยู่สักพัก “แก...แกถามถึงเรื่องนี้ทำไมกัน?”

“คุณอยากจะชดใช้ฉันคืนไม่ใช่เหรอ งั้นฉันต้องการให้คุณเอากำไลวงนี้มาให้ฉันเดี๋ยวนี้”

สิดาพูดตะกุกตะกัก“กำไลวงนี้สุขุมเขาทิ้งไว้ให้ณิชา บอกว่าเป็นสิ่งของที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าแหละ แกเอาอันนี้ไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ถ้าแกชอบกำไล เอาไว้วันอื่นฉันจะไปซื้อวงใหม่ให้แกหนึ่งวง”

“สิ่งของที่แม่เธอทิ้งไว้ดูต่างหน้างั้นเหรอ?” ก้อยพูดซ้ำทวนประโยคนี้ พลันคว้าสิดาทันที “พูดมาคำเดียวตกลงว่าคุณจะให้ฉันมั้ย!”

“ฉัน...” หัวใจหดหู่สะท้อนออกทางแววตาของสิดา “คุณสุขุมย้ำนักย้ำหนากำไลนั่นเอาไว้ณิชา...”

ก้อยโมโหทันที เธอสะบัดสิดาอย่างสุดแรง พลันพูดอย่างเยือกเย็น “พูดไปพูดมา ลูกสาวของคนอื่นมันสำคัญกว่าฉันใช่มั้ย? คุณยังอยากจะให้ฉันยอมรับคุณ งั้นคุณก็ต้องเอากำไลวงนี้มาให้ฉัน! ไม่งั้นฉันจะย้ายออกไปเดี๋ยวนี้ ไปนอนหิวตายข้างถนนคุณก็ไม่ต้องมาสนใจ!”

“ก้อย แกอย่าเพิ่งเอาแต่ใจเลย ตอนนี้ณิชาเป็นคนของคุณเวธัส แกเชื่อฟังหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยให้พี่เขยของแกแนะนำผู้ชายดีๆ ให้แกสักคน ครึ่งชีวิตที่เหลือของฉันก็ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลอีกแล้ว...”

ศีรษะของสิดาในตอนนี้เริ่มแสดงอาการมึนเล็กน้อย บริเวณที่ถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บ เจ็บจี๊ดเหมือนมีอะไรทิ่มแทง เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก

ก้อยเห็นว่าเธอไม่ยอมเอากำไลมาให้เธอ จึงเดินออกไปทางด้านนอกอย่างโกรธเคือง

สิดารีบวิ่งตามทันควัน ด้านหน้าปรากฏเงาตะคุ่ม พลันดึงมือของเธอเอาไว้ “ก้อย แกฟังแม่นะ กำไลอันนี้ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ยอมให้แก แต่ว่า...”

แอ๊ด...

จังหวะนี้เอง ประตูใหญ่ของรับแขกก็เปิดออก

ณิชาเดินจูงมือเวธัสเข้ามา และซื้อของกินกลับมาบ้านเล็กน้อย ซึ่งเห็นภายในห้องก็รู้สึกเหมือนถูกปล้นเช่นเดียวกัน

ส่วนสิดากับก้อยกำลังยืนอยู่ในห้องรับแขก

สิดาดึงมือของก้อยอย่างน่าเวทนามาก สีหน้าก้อยไร้ความรู้สึก

“พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?” ณิชาชะเง้อคอมองก้อย แถมยังแสดงความรู้สึกไม่พอใจไร้การปกปิด

ก้อยมองเห็นณิชากับเวธัสกลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนเกิดความหวาดหวั่นเล็กน้อย

“เมื่อกี้มีหนูเข้ามาในบ้าน เราก็เลยไล่ตีหนูกันแค่นั้นแหละ...” สิดาฝืนคลี่ยิ้มออกมาทันควัน

ก้อยพยักหน้าเล็กน้อย พลันชี้ไปยังไม้กวาดที่ตกอยู่ตรงมุมห้อง “ใช่ค่ะ เราตีหนูกันอยู่”

สายตาของณิชาเหลือบมองมือของสิดา ฝ่ามือของเธอยังมีรอยเลือดติดอยู่เล็กน้อย สีหน้าของเธอซีดเซียวมาก ซึ่งไม่ยากเลยที่จะจินตนาการได้ว่าก่อนหน้านี้ในบ้านเกิดอะไรขึ้น

ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวของเวธัสเพ่งมองก้อย

เมื่อก้อยโดนมองด้วยสายตาเช่นนี้จนหัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ จึงพูดประโยคสบายๆไม่มีความหมายใดออกไป และหลบเข้าไปในห้องนอนของเธอ

โครงสร้างของห้องเป็นแบบคอนโดสองห้องนอน เดิมทีณิชาอยู่กับปัณณ์หนึ่งห้อง สิดาอยู่อีกห้อง ตอนนี้ณิชากับปัณณ์ได้ย้ายออกไปแล้ว ห้องที่เหลือนั้นก็ย่อมตกเป็นของก้อยตามระเบียบ

ก้อยพาดตัวอยู่ติดบานประตู และคอยฟังความเคลื่อนไหวนอกห้องอย่างตั้งใจอกตั้งใจ...

“แม่ เมื่อกี้ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” ณิชาไม่เชื่อที่พูดว่ากำลังตีหนูกันอยู่ ตีหนูอะไรขนาดตู้โทรทัศน์ก็ยังรื้อออกมาเลยเหรอ?

“มะ...ไม่มีอะไร ก็แค่ตีหนู” สิดาฝืนคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ไปรับถุงใส่ของที่ซื้อมาจากมือของเวธัส “คืนนี้พวกเธอจะกินข้าวที่นี่ใช่มั้ย? แม่จะได้ไปทำพร้อมกันเลย”

ในดวงตาของเวธัสซ่อนเร้นความคมกริบเอาไว้ พลันพูดตักเตือนสิดา “ความคิดของก้อยไม่ได้บริสุทธิ์ใจเลยครับ ถ้าเธอให้คุณทำอะไร ทางที่ดีที่สุดคุณช่วยบอกกับผมก่อนสักหน่อยนะครับ”

สิดาฉีกยิ้มแฉ่งทันที “ก้อยอายุยังน้อยเท่านั้นเอง เพิ่งจะเรียนจบและก้าวเข้าสู่สังคมเองนะ จะไปเอาความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ใจมาจากไหนล่ะ ต่อไปช่วยสั่งสอนเยอะๆ ก็ได้แล้ว ใช่สิ เธอตั้งใจทำงานที่บริษัทมั้ย?”

“ตั้งใจมากครับ แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจทำงาน”

แต่กลับตั้งใจใช้วิธีให้ท่าเขา เพื่อยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างเขากับณิชาให้แตกหัก

สิดาฟังไม่เข้าใจความหมายเป็นนัย พลันดึงมือของเวธัสเอาไว้ และกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก “โชคดีที่ก้อยมีพี่เขยที่ดีแบบคุณ ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณยังไงดี...”

เวธัสขมวดคิ้วเอาไว้ สิดาสอบถามเรื่องของก้อยด้วยตัวเองทั้งหมด ลักษณะกังวลเช่นนี้ ซึ่งไม่เหมือนคนเป็นป้าที่มีต่อหลานสาวแบบธรรมดาเลย แต่กลับเหมือน...

แม่ที่คอยวิตกกังวลกับลูกสาวที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแทน

ภายในห้อง เมื่อก้อยได้ยินสิดาไม่ได้หักหลังตนเอง จึงถอนหายใจโล่งอกยาวๆ

ถ้าเธอกล้าขายตนเอง ชั่วชีวิตของเธอจะไม่มีวันยอมรับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว!

เธอล็อกประตู พลันเดินมายังตำแหน่งใกล้กับหน้าต่าง และจัดการโทรศัพท์หาน้ำตาลทันที

น้ำตาลรอฟังข่าวคราวจากเธอจนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ราวกับกดรับสายในวินาทีแรกทันที พลันเร่งรุดสอบถามจากกระบอกเสียงปลายสาย “เป็นไงบ้าง ได้ของมาอยู่ในมือยัง? แกถ่ายรูปให้ฉันดูก่อนสิ...”

“คะ...คุณน้ำตาล ฉันยังหากำไลไม่เจอเลยค่ะ” ก้อยจำต้องพูดขัดจังหวะคำพูดของน้ำตาล และพูดอย่างน้อยใจ “ฉันหาทั่วบ้านแล้ว ก็ไม่เห็นกำไลวงนั้นเลย น่าจะทำหายไปแล้วมั้งคะ?”

สิดาพูดอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ตลอด ไม่แน่ของชิ้นนั้นน่าจะไม่อยู่แล้วจริงๆ

รูปภาพใบนั้นมันก็ถ่ายเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนี้บ้านณิชาก็ล้มละลายไปแล้ว สุขุมก็ไม่อยู่แล้วด้วย เรื่องที่สิดาไม่รู้เรื่องว่ากำไลวงนั้นไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก...

น้ำตาลเงียบงันอยู่สักพัก ก้อยรีบพูดทันควัน “แต่ฉันไปสอบถามที่มาที่ไปของกำไลนั้นมาแล้วค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊