บทที่ 13 : ได้งานทำแล้ว ดีจริง ๆ
“ยายเฒ่าเจ้าทำให้ท่านน้าโกรธแล้ว”
หวงจงใช่ว่าจะเห็นด้วยกับภรรยา แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งออกมา ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้รักใคร่บุตรชายคนที่สาม เทียบเท่ากับบุตรชายอีกสองคนของตนเอง
“แล้วจะให้ทำอย่างไร บ้านสามมีคนแบ่งปันอาหารให้แล้ว ยังจะต้องแบ่งอะไรให้อีก ดูหลานชายของข้าสิ ตัวผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ ไม่กินอิ่มได้รึ” ว่าแล้วก็ลูบศีรษะของหวงชุนฟงกับหวงหลินอี้ไปด้วย
เด็กสาวสองคนจากบ้านรอง ถึงกับมองสบสายตากันปริบ ๆ อาหารนั่นไม่ตกถึงท้องพวกนางแม้แต่คำเดียว กลับเป็นหลานชายสองคนจากบ้านใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์ไป ในสายตาของหวงหลันฮวาที่มีอายุเจ็ดปีแล้ว นางเข้าใจได้ถึงความลำเอียงของท่านย่าเป็นอย่างดี แต่น้องสาววัยสี่ขวบของนางนั้น กลับไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด พร่ำแต่ถามว่าเหตุใดตนถึงกินของนั่นไม่ได้
หม่าซูเหวินเดินตามผู้เป็นย่าเข้าไปในห้องนอนของท่าน คนเหล่านั้นมาอาศัยอยู่แค่วันสองวัน ก็สร้างปัญหาให้ท่านย่าของนางเสียแล้ว “ท่านย่าอย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ”
“เดิมทีย่าว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรหวงชางก็เป็นหลานของย่าคนหนึ่ง ไม่เข้าใจจริง ๆ คนเป็นแม่จะลำเอียงลูกในไส้ของตัวเองขนาดนี้ได้อย่างไร”
“คนบางคนก็ใช้หลักเหตุผลไม่ได้ ท่านย่าจะให้พวกเขาอยู่กับเราไปแบบนี้หรือเจ้าคะ”
“เหวินเอ๋อร์เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว หากพวกเขามาอยู่กับย่า ย่าย่อมมีคนคอยดูแลพึ่งพาอาศัยได้ แม้นิสัยของอาเหมยจะเป็นแบบนั้น แต่นางก็คือหลานสาวของย่า สายเลือดเดียวกันย่อมตัดกันไม่ขาด”
หม่าซูเหวินทำหน้าเศร้า เอ่ย “ท่านย่าข้ายังไม่อยากออกเรือน”
“เด็กโง่ สตรีเมื่อถึงวัยก็ต้องออกเรือนกันทั้งนั้น อีกไม่กี่วันย่าจะเรียกแม่สื่อมาคุยเรื่องนี้ หมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ยังดี”
หม่าซูเหวินเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัตินี้ดี การหมั้นหมายของนางย่อมขึ้นอยู่กับท่านย่าเพียงผู้เดียว นางเชื่อมั่นว่าท่านจะต้องเลือกคู่ครองที่ดีให้แก่นาง ทว่าคนดีคนชั่วนั้นไหนเลยจะดูออกได้ในเวลาอันสั้น
“น่าเสียดายการหมั้นหมายก่อนหน้า ไม่น่าเลยจริง ๆ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านย่าอย่าไปเอ่ยถึงมันเลยเจ้าค่ะ บางทีนั่นอาจไม่ใช่การหมั้นหมายที่ดีนัก”
หม่าซูเหวินเม้มปากเข้าหากันแน่น คนผู้นั้นจะให้นางเป็นอนุภรรยา ทั้งที่หมั้นหมายเป็นภรรยาหลัก มีหรือนางจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ภายหลังจึงได้เกิดการถอนหมั้นกันขึ้น
“ไม่เอ่ยถึงแล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องของคนเหล่านั้นผ่านไปสักสามสี่วัน ย่าจะหาทางตัดสินใจเอง ว่าจะให้พวกเขาอยู่หรือไป”
“เจ้าค่ะท่านย่า ท่านก็นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว”
“ได้ ๆ เจ้าออกไปเถอะ” หญิงชราโบกมือไล่หลานสาวให้ออกจากห้องนอนของตนเองไป
ภายในห้องนอนของนางเจียง ดวงตาของนางหลุกหลิกเหมือนกำลังคิดหาทางออกให้กับครอบครัว ผู้เป็นสามีเองก็พลอยนอนไม่หลับตามไปด้วย
“ยายเฒ่าเจ้านอนไม่หลับรึคิดอะไรอยู่” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม
นางเจียงรีบพลิกตัวหันกลับมามองสามี แล้วกระซิบเบา ๆ กับเขา “ข้ากำลังคิดว่าหากซูเหวินแต่งงานออกไปแล้ว ที่นี่ก็เหลือเพียงแค่ท่านน้าคนเดียว”
“แล้วอย่างไร”
“ตาเฒ่าเจ้าลองคิดดูนะ เหลือท่านน้าเพียงคนเดียว ท่านน้าปีนี้ก็คงหกสิบปีแล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน เรือนหลังนี้ก็ต้องตกเป็นของพวกเราถูกไหม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เกรงว่าท่านน้าจะยกให้หลานสาวมากกว่า”
“สตรีออกเรือนก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป”
“แต่นั่นคือหลานสาวคนเดียวของท่านน้า เรือนหลังนี้ไม่มีทางตกถึงมือพวกเราหรอก เจ้าอย่าคิดฝันให้มากนักนอนได้แล้ว” หวงจงไม่คิดว่าท่านยายเจียงจะตายเร็วถึงเพียงนั้น คนเฒ่าคนแก่บางคนอายุยืนยาวถึงร้อยปีก็มี
แต่ในใจของเจียงซื่อกลับละโมบโลภมาก นางตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปนาน ๆ สักวันเรือนหลังนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน
เช้าวันต่อมา
ท่านยายเจียงทนมองดูหวงชางกินข้าวเรือนท่านยายหมี่อีกต่อไปไม่ได้ เข้าวันที่สามนางจึงมอบเสบียงเป็นแป้งขาวสองจิน ข้าวสารอีกสี่จิน ให้พวกเขาได้กินอยู่โดยไม่เดือดร้อน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี