บทที่ 242 ยื่นข้อเสนอ!
ความฝันของนางเกิดขึ้นในคืนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง และเช้าวันใหม่ก็เป็นวันแรกของฤดูหนาวที่ท้องฟ้าแจ่มใส
ทั้งสองคนรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ปรึกษาเรื่องแผนการในอนาคต รวมถึงตกลงเรื่องการเตรียมพร้อมในกิจการต่าง ๆ
หลังจากนั้น พวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตนเอง
ฤดูหนาวจะมีความยาวนานมากเพียงใด? คำตอบคือมีเพียงสองเดือนเท่านั้น
แต่อนาคตของพวกเขาจะยาวนานเท่าฤดูหนาวหรือไม่? ไม่มีผู้ใดทราบคำตอบ
ทว่าสิ่งที่จ้าวอู่เจียงจำเป็นต้องทำก็คือ การกวนน้ำให้ขุ่น สร้างความวุ่นวายในราชสำนัก ก่อนที่ฤดูหนาวจะแช่แข็งทุกอย่างจนสายเกินแก้
…
เมืองหลิงหนาน
เมืองหลิงหนานตั้งอยู่ทางชายแดนตอนใต้ของแคว้นต้าเซี่ย อาณาเขตส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยเทือกเขาไร้นาม
ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากกำลังไล่ล่าเซวียนหยวนอวี้เหิง เขากำลังมุ่งหน้าต้องการจะกลับไปหาพรรคพวกในแคว้นหนานเจียง แต่ก็ถูกสกัดขัดขวางโดยเซียวหยวนซานผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ทางตอนใต้
เซวียนหยวนอวี้เหิงจึงทำได้เพียงซ่อนตัวชั่วคราวอยู่ในหุบเขาเท่านั้น
ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ค่อย ๆ ร่วงโรยทับถมปกคลุมซากศพที่แห้งกรัง
เซวียนหยวนอวี้เหิงเดินเหยียบย่ำใบไม้ที่ทับถมอยู่บนกองซากศพ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไล่ล่าเขามาจนถึงที่นี่ แต่ถูกวิชามหาเทพดูดดาวดูดพลังจนสิ้นใจตาย
ในอีกไม่ถึงครึ่งเดือน เซวียนหยวนอวี้เหิงก็จะสามารถเลื่อนขั้นพลังได้อย่างก้าวกระโดด
แม้ภาพลักษณ์จะถูกทำลายย่อยยับเช่นเดียวกับสำนักมังกรเงิน แต่สำหรับเซวียนหยวนอวี้เหิง ในเรื่องร้ายก็มีเรื่องดีเช่นกัน
เขาไม่จำเป็นต้องยึดติดกับบทบาทที่ตนเองสร้างขึ้นมาอีกแล้ว สามารถปลดพันธนาการและทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา รวมถึงใช้วิชามหาเทพดูดดาวสังหารคนได้อย่างเปิดเผย
เซวียนหยวนอวี้เหิงจ้องมองไปยังท้องฟ้าทิศเหนือด้วยแววตาอาฆาต หลังผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไป ก็จะไม่มีผู้ใดในนครหลวงสามารถหยุดยั้งเขาได้อีก
เขาจะฆ่ากวาดล้างผู้คนในวังหลวง จะยกกองทัพบุกไปโจมตีและยึดครองบัลลังก์มาเป็นของตนเอง!
บรรดาขุนนางจะต้องก้มหัวให้แก่เขา เขาจะข่มขวัญผู้คนนับล้านด้วยการโบกสะบัดมือแค่ครั้งเดียว และในเวลาเดียวกันนั้น เขา เซวียนหยวนอวี้เหิงจะเป็นเทพเจ้าในสายตาของต้าเซี่ย
ใช่แล้ว! เทพเจ้า!
เขาไม่ได้อยากเป็นมนุษย์ แต่เซวียนหยวนอวี้เหิงอยากมีความสูงส่งเทียบเท่าเทพเจ้า
เขาวางแผนการนี้มาหกปีและจะไม่ยอมให้มันล้มเหลวเด็ดขาด
…
ณ ตึกที่ทำการหกกรม
“ใต้เท้าจ้าวเชิญเข้ามาก่อน เสนาบดีทั้งหลายมารอคอยอยู่เรียบร้อยแล้วขอรับ…” หลิ่วว่านซานนำทางด้วยความนอบน้อม
หลิ่วว่านซานผู้มียศเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่กลับกำลังต้อนรับขุนนางขั้นหกอย่างกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า หากเป็นยามปกติ บรรดาขุนนางด้วยกันคงหัวเราะเยาะเขาแทบตายแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าขุนนางขั้นหกผู้นี้คือจ้าวอู่เจียง พวกเขาจึงได้แต่สงบปากสงบคำ ปัดความคิดที่จะหัวเราะเยาะอีกฝ่ายออกไปสมองในบันดล
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า