บทที่ 244 หนึ่งคำสองความหมาย
“หากพวกท่านหวาดกลัวว่าจะตกอยู่ในอันตราย ก็ขอให้วางใจได้เลยขอรับ” ดูเหมือนว่าจ้าวอู่เจียงจะสังเกตสีหน้าของพวกเยียนอันเสิ่นได้อย่างรวดเร็ว จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“บรรดาขุนนางที่ไม่ได้รับการรับเลือกจะกล้าประท้วงได้อย่างไร? ในราชสำนักมีทั้งหลิวเจ๋อทั้งตู๋กูอี้เหอ ในกองทัพก็มีเซียวหยวนซาน ตู๋กูเทียนชิงและซูติงจุน รวมไปถึงแม่ทัพฝีมือฉกาจอีกหลายนาย…”
“แล้วจะมีผู้คนกล้าคิดกบฏได้อย่างไร? ยังจะมีผู้ใดกล้าก่อกบฏอีกหรือ?”
เยียนอันเสิ่นและพรรคพวกหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก และกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พวกเขารู้ดีว่าจ้าวอู่เจียงแฝงความหมายอันใดเอาไว้ คนที่จ้าวอู่เจียงกำลังกล่าวถึงย่อมเป็นเซวียนหยวนอวี้เหิงไม่ผิดแน่
จ้าวอู่เจียงกำลังให้ความมั่นใจกับพวกเขา ต่อให้เซวียนหยวนอวี้เหิงต้องการจะคิดบัญชีแค้น แต่ในเมื่อมีฮ่องเต้หนุนหลังพร้อมกับกองทัพจำนวนมาก เซวียนหยวนอวี้เหิงย่อมไม่สามารถทำอะไรได้อย่างแน่นอน
“และที่สำคัญก็คือ ไม่ง่ายเลยนะขอรับที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการกัดกร่อนด้วยพิษร้ายในทุก ๆ วัน ยิ่งปล่อยนานไปมากเพียงใด ร่างกายก็ยิ่งเสื่อมโทรมมากเท่านั้น” จ้าวอู่เจียงกำลังหมายถึงกู่พิษแห่งโหลวหลาน
หลินหรู่ไห่มองจ้าวอู่เจียงด้วยความสงสัย เขารู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ แม้ว่าเยียนอันเสิ่นกับคนอื่น ๆ จะได้ยินประโยคเดียวกัน แต่ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ก็แตกต่างกันออกไป…
หลินหรู่ไห่หรี่ตาลงและค่อย ๆ วิเคราะห์คำพูดของจ้าวอู่เจียงรวมไปถึงปฏิกิริยาของเยียนอันเสิ่นและพรรคพวก ก่อนจะตกตะลึง
หลินหรู่ไห่รู้มานานแล้วว่าพวกของเยียนอันเสิ่นทำงานรับใช้เซียวเหยาอ๋อง เมื่อนำข้อมูลนี้มาประกอบรวมกัน ในที่สุด เขาก็ได้คำตอบจากความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของจ้าวอู่เจียง
นี่เรียกว่าหนึ่งคำมีสองความหมาย และความหมายเหล่านั้นก็ส่งผลแตกต่างกับแต่ละคนไปไม่เหมือนกัน
จ้าวอู่เจียง… หลินหรู่ไห่หัวใจกระตุกวูบ เขามองเห็นเงาร่างของหลิวเจ๋ออยู่ในตัวอีกฝ่าย เขามองเห็นความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจที่ไม่ต่างจากหลิวเจ๋อเลยสักนิด
เพียงแต่ความเฉียบคมของหลิวเจ๋อเริ่มเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ในขณะที่จ้าวอู่เจียงยังเป็นบุรุษฉกรรจ์และมีความเฉียบคมทางสติปัญญามากกว่าหลิวเจ๋อในอดีตเสียอีก
“หากพวกท่านตัดสินใจได้แล้ว อย่าลืมส่งคนไปแจ้งข้าด้วยนะขอรับ” จ้าวอู่เจียงลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับลาพวกของหลินหรู่ไห่
หลินหรู่ไห่หรี่ตาลง ลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มกว้าง
“ใต้เท้าจ้าว ข้าจะเดินออกไปส่ง…”
จ้าวอู่เจียงยิ้มรับ พลางชำเลืองมองพวกของเยียนอันเสิ่นที่ยังนั่งเฉยอยู่ จากนั้นก็กล่าวว่า
“ขอบคุณท่านเสนาบดีหลินมากแล้ว”
จ้าวอู่เจียงเดินออกมาจากห้องตำราพร้อมกับหลินหรู่ไห่ ก้าวเดินไปตามเฉลียงทางเดิน
พอดีกับได้พบเจอขุนนางน้อยผู้หนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่นตกใจ ดูจากเครื่องแบบที่สวมใส่ ย่อมเป็นคนของกรมพิธีการ
เมื่อเห็นกิริยาตื่นตกใจของขุนนางน้อยผู้นี้ หลินหรู่ไห่ผู้แต่งตั้งตนเองเป็นนายใหญ่ของทั้งหกกรมก็ส่งเสียงตวาดทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มาจากกรมในการควบคุมของตนก็ตาม
“เหตุใดเจ้าถึงเสียทำตัวมารยาทเช่นนี้?!”
“เรียนท่านเสนาบดีหลิน ตอนนี้พวกข้ากำลังนำตัวอย่างข้อสอบไปติดที่กำแพงฝั่งทิศใต้ แต่ไม่รู้ทำไมกาวถึงได้แห้งเร็วนัก ข้ากำลังจะรีบไปกรมโยธาเพื่อขอกาวเพิ่มอีกถังขอรับ” ขุนนางน้อยตอบกลับมาด้วยความร้อนรน แต่ก็ยังมีความเคารพเต็มเปี่ยม
หลินหรู่ไห่มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที
“งั้นก็รีบไปสิ อย่าชักช้า!”
เสนาบดีกรมพิธีการเป็นคนรับผิดชอบในการออกข้อสอบชุนซื่อสำหรับฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เพื่อทำการคัดเลือกบัณฑิตผู้มากพรสวรรค์จากทั่วแคว้นให้เข้ามาทำงานในกรมพิธีการ เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่จะชักช้าไม่ได้
“รับทราบขอรับ!” ขุนนางน้อยตอบด้วยความเคารพ และรีบวิ่งผ่านไป
“ใต้เท้าจ้าว ทำท่านหัวเราะเยาะแล้ว” หลินหรู่ไห่ถอนหายใจ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า