บทที่ 379 ความสง่างามของฮ่องเต้
นับตั้งแต่โบราณมา ขุนนางน้อยใหญ่และทหารเลื่องชื่อมากมายเพียงใด ที่ต้องการจะฝากชื่อของตนเองเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์?
หากสามารถควบคุมบันทึกประวัติศาสตร์แคว้นได้ ผู้ใดบ้างจะไม่อยากใส่ชื่อของตนเองลงไปในนั้น
โดยปกติผู้บันทึกมักจะเป็นคนที่เที่ยงธรรมเสมอ
แต่ในทางกลับกัน หากผู้ใดมีปัญหากับขุนนางผู้ควบคุมบันทึกประวัติศาสตร์ คนผู้นั้นก็อาจจะถูกใส่ความด้วยการจารึกชื่อลงหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ที่ชั่วร้ายที่สุด เนื่องจากผู้บันทึกสามารถเปลี่ยนสีขาวให้กลายเป็นสีดำได้ตามใจปรารถนา
ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่ค่อยมีผู้ใดอยากมีปัญหากับผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางมี่ซูเจี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นใน ‘ความยุติธรรม’ เลือกบันทึกแต่ข้อมูลที่เป็นความจริงเท่านั้น และจะไม่มีทางเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีอยู่จริงเด็ดขาด
แม้จะมีฮ่องเต้คอยกำกับดูแลอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปควบคุมได้ง่าย ๆ ทว่าขุนนางผู้รับหน้าที่จดบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ ก็ยังคงต้องให้ฮ่องเต้ตรวจสอบเนื้อหาอยู่เสมอด้วยการกราบบังคมทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาท รบกวนฝ่าบาทช่วยตรวจสอบเนื้อหาตรงส่วนนี้ด้วย ว่ากระหม่อมบันทึกได้ถูกต้องแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งสำคัญคือผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ได้ต้องมีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวง่าย ๆ
เวลานี้ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งมี่ซูเจี้ยนคนปัจจุบันเป็นบัณฑิตเฒ่าที่มีความจงรักภักดีต่อราชสำนักเป็นอย่างสูง แต่ก็ยึดหลักการบัณฑิตอย่างเข้มงวด เขาจะดูแลแต่เรื่องราวภายในหอคัมภีร์หลวงเท่านั้น และไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวการเมืองเลยสักครั้ง
แต่ขุนนางมี่ซูเจี้ยนคนเก่าก็อายุมากแล้ว จะสามารถดูแลหอคัมภีร์หลวงไปได้อีกนานเพียงใดกัน?
บัดนี้จ้าวอู่เจียงได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นขุนนางมี่ซูเส้า อีกทั้งยังได้รับอนุญาตให้มีอำนาจเทียบเท่ากับขุนนางมี่ซูเจี้ยน นี่ไม่ใช่การประกาศให้ทุกคนทราบกันแล้วหรือว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต จ้าวอู่เจียงก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นมี่ซูเจี้ยนคนต่อไปทันที?
แม้ในขณะนี้จ้าวอู่เจียงจะยังไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบันทึกประวัติศาสตร์ได้ แต่อีกไม่กี่ปีก็คงไม่ใช่แล้ว
อีกทั้งยังหมายความว่า พวกเขาไม่สามารถไปล่วงเกินจ้าวอู่เจียงได้ เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าอีกฝ่ายหาใช่บัณฑิตเฒ่าผู้ใจเย็นและรักสงบ แต่เขาคือคนหนุ่มผู้ดุดันเกรี้ยวกราด หากเขาไม่พอใจผู้ใด มีหวังคงได้แอบเขียนข้อความใส่ร้ายลงในบันทึกประวัติศาสตร์เป็นแน่แท้ เพียงเขาตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งเท่านั้น ภาพลักษณ์ของขุนนางผู้นั้นก็จะเสียหายย่อยยับไปตลอดกาล
นี่ตรงกับคำกล่าวในยุคหลังจากนั้นที่ว่าปากกาสามารถฆ่าคนได้ แม้ปากกาจะไม่แหลมคมเหมือนใบมีด แต่มันก็สามารถฆ่าคนให้ตายได้จริง ๆ
พู่กันในมือของจ้าวอู่เจียงเองก็เช่นเดียวกัน
ยิ่งภายในท้องพระโรงเกิดเสียงอุทานดังมากขึ้นเท่าไหร่ สายตาที่ผู้คนจ้องมองไปยังจ้าวอู่เจียงก็ยิ่งปรากฏความตกตะลึงและความหวาดกลัวมากเท่านั้น

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า