บทที่ 67 การเดินหมากครั้งสำคัญ
ความคับแน่นของหลิวชิงชิงทำให้จ้าวอู่เจียงพบเจอกับความยากลำบากในช่วงหนึ่งชั่วยามแรก แต่ด้วยความที่มีกำลังวังชามหาศาล เขาจึงสามารถเอาชนะศึกครั้งนี้ได้ในที่สุด
เมื่อกลับไปที่ตำหนักหย่างซิน ก็เป็นเวลาเลยยามจื่อแล้ว
จ้าวอู่เจียงไม่ได้นอนหลับ แต่เขากำลังนั่งโคจรพลังตามคัมภีร์ทองคำไร้พ่าย ชายหนุ่มยังคงต้องพยายามอีกมาก กว่าจะสามารถเลื่อนขึ้นไปฝึกฝนวิชาในส่วนที่มีขอบเขตสูงกว่านี้ได้
ฮ่องเต้รู้สึกเป็นกังวล และบอกให้เขาไปพักผ่อนเสียก่อน
“กระหม่อมไม่จำเป็นต้องพักผ่อนหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
จ้าวอู่เจียงโบกมือ ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายไปพักผ่อนก่อนได้เลย พรุ่งนี้เช้านางยังต้องตื่นไปจัดการราชกิจ ส่วนเขาไม่อันใดต้องทำ
จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงรุ่งเช้า ขันทีหนุ่มมีความคืบหน้าในการฝึกวิชาอีกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ ทำให้รู้สึกคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
จ้าวอู่เจียงออกเดินตรวจตราตำหนักของนางสนมเช่นเคย และใช้โอกาสนี้แอบสังเกตการณ์ความเป็นไปด้วยเช่นกัน
…
ณ ท้องพระโรง
ฮ่องเต้กำลังปรึกษาราชกิจอยู่กับกลุ่มขุนนาง นี่ไม่ใช่การประชุมที่มีความเคร่งเครียดเหมือนเมื่อวันก่อน กลุ่มขุนนางทั้งหลายสามารถเสนอความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างเป็นอิสระ
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ถูนิ้วมืออย่างต่อเนื่อง
ในขณะนี้ หลิวเจ๋อกำลังเอ่ยถึงเรื่องการแต่งตั้งขุนนางประจำหอคัมภีร์หลวงคนใหม่
ตำแหน่งของขุนนางประจำหอคัมภีร์หลวงไม่ใช่ขุนนางต่ำต้อย จำเป็นต้องคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะขุนนางผู้นั้นต้องมีความใส่ใจคัมภีร์ที่อยู่ในหอคัมภีร์หลวงยิ่งชีวิต กล่าวได้ว่าถึงจะเรียกหาเป็นขุนนาง แต่หน้าที่การงานนั้นออกจะเป็นไปในทางบรรณารักษ์เสียมากกว่า
เดิมที ฮ่องเต้ยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อได้ยินว่าหลิวเจ๋อกำลังจะเสนอชื่อจ้าวอู่เจียงเพื่อเข้ารับตำแหน่งนี้ นางก็หัวใจกระตุกวูบขึ้นมาทันที
หลังจากคลุกคลีอยู่กับจ้าวอู่เจียงมาได้พักใหญ่ เซวียนหยวนจิ้งก็พบว่าเขาเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว และยังมีความชำนาญเรื่องการประสานงานทางกลุ่มการเมือง ความมั่นคงทางบัลลังก์ของนางเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ ก็มักจะมาจากการเดินหมากของขันทีหนุ่ม
อย่างไรก็ตาม จ้าวอู่เจียงเป็นเพียงขันทีผู้หนึ่ง ภาพลักษณ์จึงไม่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งขุนนางสักเท่าไหร่ แต่บัดนี้ หลิวเจ๋อถึงกับเอ่ยปากออกมาเอง จึงไม่มีเหตุผลที่นางต้องปฏิเสธ
ฮ่องเต้หญิงกระแอมไอออกมาเล็กน้อย และส่งสัญญาณให้ราชเลขาฝ่ายขวาหลิวเจ๋อพูดต่อ
หลิวเจ๋อผู้มีหนวดเคราขาวโพลนก้าวเดินออกมาข้างหน้า โค้งตัวคำนับ แล้วกล่าวอย่างแช่มช้า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสังเกตเห็นว่าในช่วงหลังหอคัมภีร์หลวงขาดคนดูแล เมื่อสอบถามเรื่องนี้กับทางหัวหน้าผู้ดูแลหอคัมภีร์หลวง กระหม่อมจึงได้พบว่าภายในหอคัมภีร์มีตำราหายากอยู่มากมาย สิ่งเดียวที่ทางหอคัมภีร์หลวงกำลังขาดแคลนก็คือขุนนางที่จะเข้าไปดูแลพวกมันพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงขณะนี้ต่างก็กำลังนึกสงสัยเหมือน ๆ กันว่า ราชเลขาฝ่ายขวาอย่างหลิวเจ๋อซึ่งมีหน้าที่จัดการเรื่องราวบริหารบ้านเมืองนั้น ไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับหอคัมภีร์หลวง? และทุกคนก็ไม่ทราบเลยว่าชายชราเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุผลกลใด
หัวหน้าผู้ดูแลหอคัมภีร์หลวงเป็นผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุด หัวใจเต็มไปด้วยคำถาม เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าหลิวเจ๋อไม่เคยมาสอบถามตนเองเลยแม้แต่คำเดียว
แต่เมื่อเขาหันมองไปยังราชเลขา ก็พบว่าหลิวเจ๋อก็กำลังมองมาที่ตนเองเช่นกัน หัวใจชายวัยกลางคนกระตุกวูบ หัวหน้าผู้ดูแลหอคัมภีร์หลวงรีบประสานมือคำนับ และกล่าวว่า
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หอคัมภีร์หลวงของเราขาดคนจริง ๆ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า