เช้าวันรุ่งขึ้นหลังทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยจิวอิง เย่วซิน เย่วเทียน เย่วฉี ต่างมาช่วยกันขุดหลุมเพื่อฝังกระดูกของมารดาเอาไว้ที่สวนข้างเรือนนอน
เย่วซินหยิบผ้าขาวที่ห่อกระดูกมารดาออกมาจากแหวนจัดเก็บแล้วค่อยบรรจงวางลงในหลุมอย่างเบามือ จิวอิงนำกลีบดอกไม้โรยบนผ้าขาวเมื่อเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ช่วยกันนำดินกลบเอาไว้ตามเดิมแล้วปักป้ายชื่อไว้หน้าหลุม ท่านแม่และท่านปู่เดินมาพร้อมสาวใช้ที่ยกเครื่องเซ่นมาไหว้หลุมกระดูกตามที่เย่วซินต้องการ เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางเรียบร้อยเย่วซินและจิวอิงจุดธูปพร้อมวางดอกไม้คนละหนึ่งดอกหน้าหลุมกระดูก ทั้งสองเอ่ยด้วยน้ำตา
“ท่านแม่ พวกเราได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว คราวนี้ท่านแม่จะไม่ต้องทนเหงาอยู่ในป่าทึบคนเดียวอีกแล้ว ลูกขอโทษที่ไปรับท่านแม่ช้าไปสักหน่อยแต่ต่อไปนี้ลูกสัญญาว่าจะมาคุยเป็นเพื่อนท่านแม่บ่อยๆเลยลูกรักท่านแม่เจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนาบเนิบแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อมารดา
“ท่านแม่ ต่อไปนี้ลูกจะดูแลน้องให้ดีที่สุดพวกเราจะอยู่อย่างมีความสุขท่านแม่หลับให้สบายอย่าได้กังวลใดๆอีกเลยนะเจ้าคะ” จิวอิงเอ่ย นางพยายามทำตัวให้เข้มแข็งจะไม่ร้องไห้เผื่อว่าท่านแม่มองพวกเราอยู่ท่านจะได้สบายใจ จิวอิงเชื่อว่าตลอดเวลาหลายปีมานี้ดวงวิญญาณของท่านแม่คงไม่อาจสงบลงได้ในเมื่อบุตรสาวทั้งสองยังคงไม่ได้พบกัน แต่ตอนนี้พวกนางได้พบกันแล้วท่านแม่คงจากไปอย่างสงบเสียที
จากนั้นฮุ่ยฉินก็จุดธูปเคารพกระดูกเขาไม่ได้เอ่ยออกมาเสียงดังให้ใครได้ยินเพียงกล่าวในใจสั้นๆคล้ายเป็นคำสัญญากับผู้ตายว่า เขาจะดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด จากนั้นทุกคนก็จุดธูปไหว้หลุมกระดูกกันจนครบเมื่อเสร็จเรียบร้อยแยกย้ายกันทำหน้าที่ต่อไป
จูเซียนเมื่อได้บุตรสาวบุญธรรมมาเพิ่มอีกคนก็หมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าคนนี้ตนจะไม่พลาดอย่างแน่นอน คราแรกจูเซียนคาดหวังเต็มร้อยว่าซินเอ๋อร์จะต้องงดงามเพียบพร้อมด้วยหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมเก่งกาจทั้งศาสน์และศิลป์ แต่ความหวังกับพังทลายตั้งแต่เล็กจนโตนางเอาแต่หลบหลีกสารพัดท่านพ่อก็ให้ท้ายหลานสาวไม่เคยขัด จะขัดได้อย่างไรในเมื่อนางเจ้าเล่ห์เสียขนาดนั้น
วันนี้ความคาดหวังนั้นจึงมาตกอยู่ที่จิวอิงแต่เพียงผู้เดียว “อิงเอ๋อร์เจ้าทำได้งดงามยิ่งนัก” น้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยมเอ่ยออกมา
“ลูกยังทำได้ไม่งดงามเท่าท่านแม่เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตน ตอนนี้จิวอิงและท่านแม่จูเซียนกำลังนั่งปักผ้ากันอยู่ในเรือน
“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้วแบบนี้จะเรียกว่าไม่งามได้อย่างไร” จูเซียนหยิบผ้าปักลายดอกเหมยกุ้ยงดงามขึ้นมาชม โดยไม่รู้เลยว่าภายนอกนั้นมีสายคู่หนึ่งแอบมองอย่างอิจฉาตาร้อน
“แถวนี้มีกลิ่นเหม็นอะไรตุ ตุ ฝึด..ฝึด” เย่วฉีไม่พูดเปล่ายื่นจมูกเข้าไปดมใกล้ๆตัวของน้องสาว “อ้อ..กลิ่นหมาหัวเน่านี่เองฮ่าๆๆ” เย่วฉีหัวเราะชอบใจที่ได้เอาคืนน้องสาวบ้าง คำนี้นางว่าเขาอยู่เป็นประจำวันนี้ได้เอาคืนนับว่าอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
“หนอย...อาฉีวันนี้ข้าจะทุบท่านให้น่วมไปเลย” ว่าแล้วก็คว้าร่างสูงใหญ่ของพี่ชายแต่เขารู้ทันรีบวิ่งหนีไปหาที่พึ่งทันที
“ท่านปู่...ท่านปู่...ช่วยข้าด้วยซินเอ๋อร์จะตีข้าขอรับ” เย่วฉีรีบวิ่งไปหาท่านปู่ทันทีเพราะรู้ว่าท่านปู่ช่วยตนได้อย่างแน่นอน
“พวกเจ้าโตแล้วนะยังวิ่งเล่นเป็นเด็กน้อยอยู่อีก” ฮุ่ยฉินถึงแม้จะเอ่ยปามแต่ก็ยังมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า นานเท่าไรแล้วที่จวนแห่งนี้ไม่ได้มีเสียงอึกทึกเช่นนี้ช่างครื้นเครงไม่น้อย
“ไม่ได้วิ่งเล่นขอรับท่านปู่นางจะตีข้าจริงๆ”
“อาฉีว่าหลานเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครสนใจเจ้าค่ะท่านปู่”
“ก็มันเรื่องจริงนี่”
“ก็มันเรื่องจริงไงข้าถึงโมโห” เย่วซินเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ ก็มันเป็นเรื่องจริงนางถึงของขึ้นขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงนางก็คงไม่เท่าไรหรอกฮึ่ย...
“เอาล่ะๆเลิกทะเลาะกันได้แล้วเมื่อก่อนตอนพวกเจ้ายังเล็กปู่เห็นพวกเจ้ารักกันจะตายจนไม่อยากแยกจากกัน” ฮุ่ยฉินเอ่ยพลางนึกถึงอดีตกว่าหลานชายจะยอมเข้าสำนักเล่าเรียนได้ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานเพราะติดน้องสาวตัวน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...