คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 46

สรุปบท บทที่46 ร่วมโต๊ะอาหาร: คู่แฝดคู่ป่วน

อ่านสรุป บทที่46 ร่วมโต๊ะอาหาร จาก คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

บทที่ บทที่46 ร่วมโต๊ะอาหาร คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนซ์ คู่แฝดคู่ป่วน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ไป๋หลัน อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

# พรรคอินทรีย์

ตอนนี้เย่วซินและเย่วฉีกำลังเดินมายังโต๊ะอาหารที่เขตที่พักหลังใหญ่ที่ท่านประมุขจ้าวพักอาศัย โดยมีซานจิ่นเป็นผู้นำทางมา

“ซินเอ๋อร์อย่าลืมที่พี่บอกเล่าห้ามมองท่านประมุขด้วยสายตาหยาดเยิ้มเป็นอันขาดเลยนะ” เย่วฉีเอ่ยย้ำน้องสาวเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้

“ท่านบอกข้าเป็นร้อยรอบแล้ว เห็นข้าเป็นคนเช่นไรกัน” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหงุดหงิด

“ก็พี่เห็นเจ้าทำบ่อยไงถึงได้เอ่ยเตือน เจ้าชอบมองพี่ใหญ่ด้วยสายตาหยาดเยิ้มแล้วยังพูดจาหวานหูกว่าพี่ชายคนนี้เสียอีก” เย่วฉีเอ่ยอย่างแง่งอนแต่ก็เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น น้องสาวของเขานางช่างลำเอียงยิ่งนักและเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็กเสียด้วยซ้ำ

“ชิ..” เย่วซินเถียงไม่ออกก็เป็นจริงอย่างที่อาฉีเอ่ย นางชอบพี่เย่วเทียนเพราะเขาหล่อเหลาแถมยังชอบทำหน้านิ่งดูกร้าวใจถูกใจนางยิ่งนัก

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารพบว่าท่านประมุขจ้าวไท่เหว่ยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เย่วซินที่ตื่นเต้นมากกว่าผู้ใดที่จะได้เจอบุคคลที่ได้ชื่อว่าหล่อเหลาราวเทพเซียนและยังเก่งกาจไม่เป็นสองรองผู้ใด แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่าท่านประมุขจ้าวสวมใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าด้านซ้ายปิดบังเอาไว้ เย่วซินทำหน้าห่อเหี่ยวขึ้นมาทันใด

“คาราวะท่านประมุข” เย่วฉีและเย่วซินเอ่ยคาราวะบุรุษผู้น่าเกรงขามตรงหน้า

“พวกท่านทั้งสองตามสบายเถิด เชิญนั่ง”” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย พลางใช้สายตาสำรวจสตรีร่างบางที่เดินมากับหมอเย่วฉี นางคงเป็นน้องสาวผู้เก่งกาจที่สามารถถอนพิษร้ายของพรรคอสรพิษได้ นางยังดูอ่อนเยาว์นักไม่คิดว่าจะมีฝีมือดีขนาดนั้น แต่ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้ายิ่งนัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อนหรือไม่  จ้าวไท่เหว่ยครุ่นคิดแต่ก็คิดไม่ออก

“ขอบคุณขอรับท่านประมุข”

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านประมุข”

“นี่คือน้องสาวของข้า นามว่าหมิงเย่วซินขอรับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูเย่วซิน ข้าต้องขอบใจเจ้ามากที่ถอนพิษออกจากร่างกายของข้า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยในสิ่งที่ตนอยากกระทำยามที่เจอหน้าบุคคลที่ถอนพิษให้ตน พลางมองร่าบางในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนขลิบน้ำเงิน นางมีใบหน้าที่งดงามเสียอย่างเดียวที่ตอนนี้ใบหน้านั้นดูบึ้งตึงเหมือนเด็กโดนขัดใจเล็กน้อย แต่ก็ดีเขาไม่ชอบสตรีที่ชอบทำหน้าตาเย้ายวนบุรุษ

“ข้ายินดีช่วยเหลือเจ้าค่ะ และท่านก็ยังให้ค่าตอบแทนข้ามากมายนัก โดยเฉพาะสมุนไพรล้ำค่าพวกนั้นข้าชอบมันที่สุด” เย่วซินเอ่ยพลางนึกถึงสมุนไพรที่ท่านประมุขจ้าวมอบให้ดวงตาก็เปล่งประกายอย่างยินดี จนทำให้คนที่นั่งอยู่เผลอจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว

“พี่เชื่อว่าเจ้าชอบที่สุดจนไม่ยอมแบ่งให้ใคร” เย่วฉีเอ่ยเย้าน้องสาวเมื่อเห็นแววตาเปล่งประกายยามที่เอ่ยถึงสมุนไพรล้ำค่าพวกนั้น

“ก็ท่านประมุขมอบให้ข้า” เย่วซินเอ่ยพลางย่นหน้าใส่พี่ชายหนึ่งที นางไม่ได้จะเก็บเอาไว้คนเดียวเสียหน่อย แค่ยังไม่ได้แบ่งให้เท่านั้นเอง

“ข้าดีใจที่เจ้าชอบ เชิญกินอาหารกันเถิด” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกทั้งสองคน ดูเหมือนทั้งคู่จะเป็นพี่น้องที่รักกันและสนิทสนมกันมากเลยทีเดียว จ้าวไท่เหว่ยคิดพลางนึกถึงน้องสาววัยไล่เลี่ยกับร่างบางตรงหน้าเขาคงต้องไปเยี่ยมเยียนนางเสียหน่อยแล้ว

เย่วซินกินอาหารตรงหน้าโดยที่มีคนคอยตักกับข้าวให้จนแทบกินไม่ทัน อาฉีเป็นเช่นนี้เสมอตั้งแต่เล็กจนโตไม่ถามสักคำว่านางจะชอบหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นนางก็กินได้ทุกอย่างที่พี่ชายตักให้ เย่วซินแอบชำเลืองมองบุรุษร่างใหญ่ที่นั่งหัวโต๊ะเป็นบางครั้งอย่างเนียนๆทำไมนางถึงรู้สึกคุ้นในน้ำเสียงนั้นนักนะมันเหมือนเคยได้ยินที่ใดมากก่อนแต่ก็นึกไม่ออก

จ้าวไท่เหว่ยกินอาหารอย่างเงียบๆไม่ได้เอ่ยอะไร และรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่แอบมองมายังตน แต่เมื่อสายตานั้นไม่ได้ทำให้อึดอัดอะไรเขาจึงปล่อยเลยไปไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าเขายังติดหนี้ร่างบางอยู่จึงเอ่ยถามออกไป

“คุณหนูเย่วซินเจ้าตัดสินใจได้หรือยังว่าจะให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน”

เย่วซินที่ได้ยินคำถามนั้นก็หยุดชะงักขึ้นมาทันที นางลืมมันไปได้อย่างไรมัวแต่ดีใจที่ได้สมุนไพรล้ำค่ามา นางลืมปิ่นปักผมของท่านแม่ไปได้อย่างไรมันน่าเขกกะโหลกตัวเองยิ่งนัก ดีนะที่จิวอิงไม่ได้เอ่ยถามเรื่องนี้เพราะมัวยุ่งๆกับร้านอาภรณ์ไม่เช่นนั้นต้องโดนนางโกรธเป็นแน่ที่รักษาสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ไม่ได้

“ข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ แต่ช่วงนี้ยุ่งๆเลยลืมเสียสนิท” เย่วซินเอ่ยตอบคนร่างใหญ่

“เจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือ?บอกมาเถิดถ้าไม่เกินความสามารถข้ายินดี” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างมีมารยาท

“เอ่อ..คือ” เย่วซินอึกอักเล็กน้อยไม่กล้าเอ่ยออกไป พลางเหลือบสายตามองไปยังพี่ชาย

“อะไร..ทำไมถึงมองพี่แบบนั้นเจ้ามีความลับอะไรที่บอกให้พี่รู้ไม่ได้หรือ?” เย่วฉีเมื่อเห็นสายตาของน้องสาวที่จ้องมองมาก็รู้ได้ทันทีว่านางมีเรื่องที่ไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าตน

“ก็ประมาณนั้น..” เย่วซินทำหน้าเจื่อนเอ่ยออกไป ใจหนึ่งก็กลัวพี่ชายน้อยใจที่เธอมีความลับ ใจหนึ่งก็ไม่กล้าบอกกลัวโดนพี่ชายดุและไปฟ้องท่านปู่ก็อาฉีขี้ฟ้องจะตายไป

“ซินเอ๋อร์..บอกท่านประมุขจ้าวเสียว่าเจ้าต้องการสิ่งใดต่อหน้าพี่ชายคนนี้” เย่วฉีทำสีหน้าจริงจังและเสียงดังข่มขู่น้องสาวยังไงเขาจะต้องรู้ด้วยให้ได้ว่านางจะให้ท่านประมุขจ้าวทำอะไรกันแน่

“ก็ได้ๆแต่ท่านต้องสัญญากับข้าว่าจะไม่ไปฟ้องท่านปู่” เย่วซินเอ่ยต่อลอง

“ก็ได้ๆ..” เย่วฉีเอ่ยตกลงอย่างน้อยเขารู้ก็ย่อมดีกว่าไม่มีใครรู้เลย

“แล้วเจ้าไปพบกับคนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” เย่วฉีเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เอาล่ะๆเอาเป็นว่าข้ารับปากว่าจะนำปิ่นมาคืนให้เจ้า รายละเอียดเกี่ยวกับคนผู้นั้นข้าค่อยถามเจ้าอีกที ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบสุขุมขัดจังหวะการซักถาม ขืนให้นางเอ่ยต่อเกรงว่าเขาจะเผลอทำนางสิ้นชื่อไปก็ได้

“ได้เจ้าค่ะ แต่เร็วหน่อยยิ่งดีไม่รู้ว่าเจ้าบ้าอำนาจนั่นจะทำลายปิ่นของข้าไปหรือยัง” เย่วซินเอ่ยบอกบุรุษน่าเกรงขามตรงหน้า

“เขาคงไม่ทำลายปิ่นของเจ้าหรอก” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกอคนร่างเล็ก

“ท่านรู้ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ข้าเพียงเดาเท่านั้น”

หลังกินมื้อค่ำจบเรียบร้อยเย่วซินและเย่วฉีก็เดินกลับเรือนพัก แต่เย่วซินขอตัวไปดูอาการคนป่วยก่อนโดยให้อาฉีอาบน้ำพักผ่อนที่ห้อง เพราะว่าดูเขาจะเหน็ดเหนื่อยพอสมควรจากการเดินทาง

เย่วซินเข้ามายังห้องผู้ป่วยพบว่ามีชายคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่คนผู้นี้คือท่านเกาซูหลางนั่นเอง

“ท่านซูหลาง ท่านไปพักก่อนเถิด ข้าจะอยู่ดูแลเขาเอง” เย่วซินเอ่ยบอกบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มุมห้องด้วยท่าทางอิดโรย เขาคงอดนอนหรือไม่ก็นอนหลับไม่เพียงพอเป็นแน่ขอบตาดำคล้ำเชียว

“ข้าเกรงใจคุณหนูขอรับ แค่รักษาให้เขาก็เกรงใจมากแล้ว” เกาซูหลางเอ่ยบอกหญิงสาวใบหน้างดงามตรงหน้า นางไม่เพียงมีใบหน้าทีงดงามแต่น้ำใจของนางยังงามไม่แพ้กัน

“ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก ท่านไปพักก่อนสักครู่แล้วค่อยว่าเปลี่ยนข้าก็ได้”

“เช่นนั้นข้ารบกวนด้วยนะขอรับ” เกาซูหลางเอ่ยอย่างเกรงใจแต่ที่นางกล่าวมาก็นับว่าดีไม่น้อย เพราะตนก็อดนอนมาหลายคืน ซานจิ่นเองก็เช่นกัน จากนั้นก็เดินกลับห้องพักทันที ห้องพักของเขาอยู่ติดกันกับห้องของคนป่วย เดินมาไม่เท่าไรก็ถึงแล้ว

เย่วซินลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย จากนั้นก็ลองจับชีพจรดูอีกครั้งว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เมื่อพบว่าชีพจรของเขาเต้นปกติ แต่มีเต้นเร็วบ้างในบางครั้งอาจเป็นเพราะคนป่วยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว

ยาถอนพิษของนางถือว่าคุณภาพดีไม่น้อยที่สามารถถอนพิษออกจากร่างกายได้เกือบหมดเหลือเพียงพิษที่เสริมร่างกายเพียงเท่านั้น แต่ที่นางกังวลคืออาการทางจิตมากกว่า เขาถูกทรมานมานานจิตใจย่อมผิดเพี้ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ จากนี้คงต้องรอให้เขาฟื้นมาก่อนค่อยรักษากันไปอีกที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน