คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 48

สรุปบท บทที่48 ท่านประมุขเอาคืน: คู่แฝดคู่ป่วน

ตอน บทที่48 ท่านประมุขเอาคืน จาก คู่แฝดคู่ป่วน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่48 ท่านประมุขเอาคืน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ คู่แฝดคู่ป่วน ที่เขียนโดย ไป๋หลัน เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ขณะนี้เย่วฉีกำลังพลิ้วกายด้วยวิชาตัวเบาเดินทางกลับจวนคนเดียว ฟังไม่ผิดเขาเดินทางกลับมาคนเดียว ส่วนอีกคนท่านประมุขจ้าวอาสาพาน้องสาวเขามาเอง ตอนแรกเขาก็ไม่ยินยอมเพราะว่านางเป็นสตรีไม่ควรใกล้ชิดบุรุษถ้าให้ท่านประมุขโอบอุ้มน้องสาวกลับจวนมีหวังโดนท่านปู่ด่ายับเป็นแน่ แต่ท่านประมุขจ้าวกลับให้เหตุผลว่าเขาต้องการคุยเรื่องสำคัญกับนางคือเรื่องปิ่นปักผม เพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักจึงจะใช้โอกาสนี้พูดคุยกันไปด้วยเลย ซึ่งเหตุผลนี้ก็ทำให้น้องสาวเออออไปกับเขาด้วยเช่นกัน เย่วฉีจึงให้ท่านประมุขไปส่งนางที่โรงเตี๊ยมแทน ส่วนตนเองจะกลับจวนไปก่อนเพื่อรายงานเรื่องราวให้ท่านปู่ทราบ

ระหว่างเดินทางตอนนี้เย่วซินกำลังถูกบุรุษร่างสูงใหญ่โอบรั้งเอวเอาไว้ในอ้อมกอดพาเหาะเหินด้วยวิชาตัวเบาขั้นสูงที่รวดเร็วยิ่ง ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกว่าคับคล้ายคับคลาเสียเหลือเกิน เย่วซินเหลือบสายตามองคนร่างสูงอย่างพินิจอีกครั้ง รูปร่างแบบนี้ น้ำเสียงเช่นนี้แถมยังกลิ่นอายยามที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้มันช่าง..เย่วซินใจกระตุกวูบไม่กล้าคิดต่อ แต่ถ้าสงสัยแล้วไม่ถามมันก็ไม่เคลียร์ แต่จะให้ถามตรงๆกลัวว่าจะไม่ได้คำตอบ

“ท่านจะเอาปิ่นคืนให้ข้าอย่างไรหรือ?” เย่วซินเอ่ยถามหยั่งเชิง

“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไร”

“หักแขน หักขา จับแก้ผ้าแล้วเอาไปทิ้งไว้ที่กลางตลาดให้เขานอนมองผู้คนเดินไปมาอย่างอดสู” เย่วซินเอ่ยเสียงดังแล้วเหลือบมองคนตัวสูงว่ามีสีหน้าอย่างไร ไม่เพียงมีสีหน้าเคร่งขรึมยังปล่อยแรงกดดันออกมาจนทำให้เย่วซินหายใจไม่ออกอึดอัดจนแทบจะหายอากาศหายใจ ได้ผลเกินคาดไปจริงๆ

“ท่านจะฆ่าข้าหรือ?ไอ้คนบ้าอำนาจ ที่แท้ก็คือท่านประมุขผู้ยิ่งใหญ่นี่เอง” เย่วซินแหวขึ้นมาเสียงดังทันทีที่แน่ใจ เพราะถ้าไม่ใช่เขาเหตุใดต้องโกรธถึงเพียงนี้

จ้าวไท่เหว่ยไม่คิดที่จะปิดบังอยู่แล้วเมื่อได้ยินว่านางต้องการทรมานเขาเช่นไรก็ปล่อยแรงกดดันมาสั่งสอนนางเสียบ้างให้หลาบจำ เป็นสตรีเช่นไรกันถึงได้คิดทำเช่นนั้นเปลื้องผ้าเขาหรือ?ฮึ..

“รู้ก็ดีแล้วนี่ ยายเด็กแสบชอบหลอกลวง”

“ใครหลอกลวงท่าน ปล่อยข้าเลยนะแล้วเอาปิ่นของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้” เย่วซินเอ่ยเสียงดังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแกร่งที่ตอนนี้ยิ่งกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“อย่าดิ้น! อยากตกลงไปหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงดุคนที่ดีดดิ้นอยู่ในอ้อมแขน

“ท่านก็ต้องคืนของข้ามาสิ!” เย่วซินโกรธเลือดขึ้นหน้าจนหลงลืมไปว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด ทำหน้าขึงขังบึ้งตึงแถมกระชากเสียงใส่อย่างไม่เกรงกลัว

“ถ้าอยากได้คืนเจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่งจนกว่าข้าจะพอใจ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำลงอย่างข่มขู่ อย่างไรเสียงานนี้เขาเหนือกว่านางแน่นอนต้องเอาคืนเสียบ้างให้หลาบจำ

เย่วซินตวัดสายตาใส่คนเอาแต่ใจ ไม่คิดว่าท่านประมุขที่ยิ่งใหญ่ช่างงี่เง่าเอาแต่ใจเช่นนี้ ได้..ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้นางก็จะใช้ไม้อ่อนแทน เย่วซินรีบเปลี่ยนสายตาจากแข็งกร้าวเป็นอ่อนหวานเย้ายวนโดยฉับพลัน

เย่วซินยกแขนเรียวเล็กขึ้นคล้องคอโอบกอดคนตัวสูงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านประมุขจะให้ข้าทำอะไรหรือเจ้าคะท่านถึงจะพอใจ”

จ้าวไท่เหว่ยเสียอาการกับกิริยาท่าทางของคนตัวเล็กในอ้อมแขนจึงทำให้เหยียบกิ่งไม้พลาดลมปราณสะดุดร่วงลงพื้นโชคดีที่เขาประคองร่างเอาไว้ได้ทันก่อนจะถึงพื้นดินไม่เช่นนั้นคงได้เจ็บตัวเป็นแน่

“เจ้าเล่นอะไรอยากตายหรือไง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงแข็งกร้าวเมื่อเท้าแตะพื้น เขาตกใจที่นางเปลี่ยนกิริยาว่องไว กลายเป็นสตรียั่วยวนที่เขาไม่อยากพาเอาตัวเองไปเฉียดเข้าใกล้

“ข้าไม่ได้เล่นนะเจ้าคะ ท่านบอกเองว่าให้ข้าทำให้พอใจ ข้าก็กำลังทำอยู่นี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านพอใจหรือยัง” เย่วซินไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนร่างสูงยิ่งขึ้น จนเขาต้องถอยหลังห่างออกไปอีก เย่วซินหัวเราะในใจที่ได้แกล้งคนบ้าอำนาจเอาแต่ใจได้ นางรู้ว่าเขาไม่ชื่นชอบสตรีที่ชม้อยชม้ายชายตาใส่เขานางถึงได้ทำ

“ถ้าเจ้าไม่หยุดข้าจะหักปิ่นของเจ้าทิ้งเสีย” ไม่พูดเปล่าจ้าวไท่เหว่ยหยิบปิ่นปักผมหยกขาวลวดลายมังกรออกมาจากแหวนจัดเก็บทันที แล้วทำท่าทีจะทำลายปิ่นต่อหน้านาง อย่างไรเสียงานนี้เขาก็เหนือกว่านางเห็นๆคิดจะกลั่นแกล้งกันมันยังเร็วเกินไป

“อย่า!! ข้ายอมแล้ว” เย่วซินกัดฟันเอ่ย แพ้..งานนี้อย่างไรนางก็แพ้..นางชักจะเชื่อแล้วว่าเขาร้ายกาจจริงๆเจ้าเล่ห์มากอีกด้วย เอ..หรือว่าจะใช้ยาพิษกับเขาดีนะเอายาแรงไปเลยดีไหม

“เจ้ายอมเช่นนี้ก็ดี อ้อ..แล้วอย่าคิดจะลอบกัดข้าอย่างไรเจ้าก็ไม่รอดคนสนิทของข้าเขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่แล้วก็ครอบครัวของเจ้าด้วยถ้าไม่อยากให้พวกเขาเดือดร้อน” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงดังข่มขู่และบอกให้คนสนิทของตนรู้กลายๆ

“ท่านมันร้าย ข้าคิดผิดที่คิดว่าท่านมีน้ำใจ”

 จ้าวไท่เหว่ยไหวไหล่อย่างไม่สนใจต่อคำพูดเดินเข้าหาคนตัวเล็กแล้วโอบเอวบางมาแนบกายดีดตัวขึ้นเหนือพื้นออกเดินทางต่อโดยไม่สนใจคนที่ต่อต้านอยู่ในอ้อมกอดพลางเอ่ยดุ

“อยู่นิ่งๆประเดี๋ยวข้าก็ทำเจ้าหลุดมือหรอก”

“แล้วข้าต้องทำเช่นไรท่านถึงจะคืนปิ่นมาให้ข้า มันสำคัญต่อข้ามากเลยนะ” เมื่อแผนก่อนหน้านี้ไม่ได้ผลก็เปลี่ยนมาอ้อนวอนดูบ้างเผื่อว่าเขาจะใจอ่อน เย่วซินเอ่ยถามเสียงอ่อนลงอย่างน่าสงสาร

“พี่เสี่ยวชิงมีเรื่องด่วนอะไรหรือ?หน้าตาตื่นเชียว”

“ห้องส่วนตัวที่ห้าเจ้าค่ะ เหล่าราชวงศ์เสด็จมาเสวยอาหารกันแต่องค์หญิงเกิดอาการแพ้อาหารของเราคุณหนูรองรีบไปดูก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยบอกอย่างรวบรัดแต่ให้คุณหนูรับรู้ได้อย่างเข้าใจ

เย่วซินพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหาบุรุษในห้อง “ท่านเชิญพักผ่อนตามสบายมีอะไรก็เรียกใช้เสี่ยวเอ้อร์ได้เลยนะเจ้าคะ ข้าต้องไปจัดการเรื่องอื่นก่อน” เอ่ยจบเย่วซินก็รีบเดินจากไปทันทีโดยมีพี่เสี่ยวชิงเดินตามมาไม่ห่างกายด้วยความเป็นห่วง

ทางด้านห้องส่วนตัว

องค์ชายรองหนิงเหล่ยหลงได้พาสหายต่างแคว้นออกมาเที่ยวชมเมืองเป็นการส่วนตัว ส่วนแคว้นอื่นๆก็เช่นเดียวพวกเขาต่างก็ออกมาเที่ยวชมเมืองกันทั้งสิ้นแต่ก็มีคนของแคว้นหนิงให้การแนะนำหรือนำทางไปด้วย หลังจากเที่ยวชมตลาดเมื่อช่วงเช้าก็ตกลงมากินอาหารที่เหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองนั่นคือโรงเตี๊ยมหมิงฟู่นั่นเอง เขาแนะสหายว่าร้านแห่งนี้อาหาร เครื่องดื่มล้วนรสชาติดีเยี่ยมและที่สำคัญเจ้าของที่นี่งดงามมากทีเดียวจนสหายอยากยลโฉมงามจึงชักชวนกันมา

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูเป็นการส่งสัญญาณก่อนที่ร่างบางในอาภรณ์สีเขียวอ่อนไล่โทนสีเข้มสวยงามก้าวเท้าเข้ามา ทำให้สายตาหลายคู่ต่างจ้องมอง เย่วซินย่อกายถวายพระพรคนสูงศักดิ์อย่างนอบน้อมพร้อมเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

“องค์หญิงแพ้อาหารหรือเพคะให้หม่อมฉันตรวจดูอาการก่อนดีหรือไม่” เย่วซินห่วงคนป่วยมากกว่าเรื่องอาหารเพราะชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า เมื่อเห็นคนป่วยอยู่ในอ้อมกอดบุรุษที่คาดว่าจะเป็นพี่ชายมีใบหน้าซีดเซียวและจุดแดงเล็กๆขึ้นตามกรอบหน้าแต่ไม่มากเท่าใด เย่วซินมุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วคายออก

“ไม่ต้อง!!..โชคดีข้ามียาแก้แพ้ติดมาเลยด้วยเลยช่วยระงับอาการเอาไว้ได้มาก แต่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร เจ้าอาจโดนข้อหาทำร้ายเชื้อพระวงศ์เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษร้ายแรงเพียงใด” เฟิ่งฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงแต่ภายในใจกลับลิงโลดที่ได้กลั่นแกล้งสตรีตรงหน้า เฟิ่งฮวายอมรับว่าตรีนางนี้งดงามไม่น้อยและมองจากสายตาของบุรุษทั้งสองที่มองอย่างหลงใหลแล้วเธอก็คิดไม่ผิดที่เล่นงานนาง

เย่วซินคิ้วกระตุกยิกๆเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง องค์หญิงแพ้อาหารแล้วเหตุใดถึงไม่แจ้งว่าแพ้อาหารชนิดใดแก่ทางร้าน แล้วถ้ารู้ว่าแพ้อาหารชนิดใดแล้วใยจึงกินมันเข้าไปอีก งานนี้หากใช้เหตุผลจริงๆทางร้านย่อมไม่ผิดอย่างแน่นอน แต่คนตรงหน้าเหล่านี้เป็นเชื้อพระวงศ์ชี้นกเป็นไม้ยังบอกว่าถูกต้อง นางจึงไม่อาจโต้แย้งได้ถึงแย้งไปก็คงต้องพ่ายแพ้อยู่ดี

“หม่อมฉันต้องขออภัยองค์หญิงและองค์ชายด้วยเพคะที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อาหารมื้อนี้ถือว่าทางร้านจะรับผิดชอบทั้งหมดเองเพคะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมย่อกายอีกครั้งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ นางรับผิดได้เพียงเท่านี้ถ้าองค์หญิงผู้นี้คิดจะจับตัวนางส่งทางการคงทำไปแล้ว

“ไม่ต้องหรอกส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของน้องสาวเราที่จะไม่ได้แจ้งทางร้านเอาไว้ว่านางแพ้อาหารชนิดใด” หานเฟิ่งอวี่ออกตัวปกป้องหญิงงามตรงหน้า เขาเห็นสตรีผู้นี้เดินเข้ามาครั้งแรกก็ทำให้ใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกใบหน้างามนั้นเขาถูกใจมากเลยทีเดียว เขาเป็นคนชมชอบสาวงามและยิ่งเป็นสวยงามบริสุทธิ์ก็ยิ่งถูกใจ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน