“คุณหนูเย่วซินเป็นอะไรหรือขอรับ” ซานจิ่นเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายอุ้มร่างของหญิงสาวกลับมา
“นางมีบาดแผลที่อกด้านซ้ายและอ่อนเพลียมาก เจ้าให้ท่านหมอมาดูอาการนางด้วย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยขณะที่อุ้มร่างเล็กเข้ามาในห้องของนางและค่อยๆวางลงบนเตียง นางตัวร้อนนิดหน่อยคงเพราะพิษบาดแผล
“ขอรับ” ซานจิ่นรีบออกไปทำตามคำสั่งทันที
“เรียนท่านประมุข วันนี้คนของเรารายงานว่ามีคนของพรรคอสรพิษเข้ามาในเขตของเราขอรับ” ซานจงรายงานเรื่องราวให้ผู้เป็นนายได้ฟัง
“พวกมันคงรู้เรื่องที่ข้าและเย่วซินไปทำลายสัตว์พิษของพวกมัน เจ้าสั่งคนให้เพิ่มกำลังด้านนอกให้ดีอย่าให้ใครรุกล้ำเข้ามาได้” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยสั่ง
“ขอรับท่านประมุข” ซานจงเอ่ยจบก็เดินจากไปทำตามคำสั่งทันที
จ้าวไท่เหว่ยยืนดูร่างเล็กที่นอนหลับอยู่เพียงครู่จากนั้นก็เดินออกไป ทางด้านเย่วซินรู้สึกตัวเมื่อมีหมอมาตรวจดูอาการ ได้กินยาแก้ไข้และยานอนหลับเข้าไปอีกหนึ่งเม็ดนางอยากนอนหลับพักผ่อนมากๆไม่อยากลุกไปทำอะไรในตอนนี้เพราะกลัวว่าบาดแผลจะอักเสบและเป็นไข้ มันคงลำบากน่าดูเพราะที่นี่ไม่ใช่จวนของตนเองไม่มีคนคอยดูแล
ยามไห่(21.00-22.59) จ้าวไท่เหว่ยเดินเข้ามาในห้องนอนของเย่วซินเพราะนอนไม่หลับกลัวนางจะป่วยไข้ขึ้นมา ตอนนี้นางอยู่ในการปกครองของเขาเขาต้องดูแลนาง จ้าวไท่เหว่ยยกมือขึ้นทาบบนหน้าผากเพื่อตรวจดูว่านางมีไข้หรือไม่ จากนั้นก็เดินไปหยิบผ้ามาชุบน้ำแล้วนำมาวางไว้บนหน้าผากเพื่อคลายความร้อน นางตัวร้อนนิดหน่อย
“ท่านมาทำอะไรหรือ? ทำไมยังไม่นอน” เย่วซินเมื่อรู้สึกถึงความเย็นบนหน้าผากก็ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดอยู่เบื้องหน้าก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้ามีไข้ได้กินยาหรือยัง?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“อื้ม...กินแล้ว ท่านไปนอนเถิด” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะความง่วงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็หลับไปทันที
“เด็กโง่...ข้าจะหลับลงได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเจ็บป่วยเช่นนี้” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะไปมา ที่นี่ไม่มีสาวใช้สักคนส่วนนางเองก็ไม่มีสาวใช้ส่วนตัวติดตามมาคอยดูแลเป็นคุณหนูเช่นใดกันถึงได้ใช้ชีวิตอนาถเช่นนี้ จ้าวไท่เหว่ยนั่งเฝ้าคนป่วยทั้งคืนและกลับห้องของตนไปตอนใกล้รุ่งสาง
สองวันต่อมาห้องนอนของหานเสวี่ยถัง “นังหนูคนนั้นข้าไม่เห็นมาหลายวันแล้วนางไปไหนหรือ?” หานเสวี่ยถังเอ่ยถามสองวันมานี้ไม่เห็นนางมานั่งเฝ้าตอนเขาหลับเลย และทำไมนางต้องมาเฉพาะตอนกลางคืนด้วย
“นายท่านหมายถึงคุณหนูเย่วซินหรือขอรับ” เกาซูหลางเอ่ยถามผู้เป็นนายที่ระยะหลังมานี้อาการดีขึ้นมากไม่อาละวาดและพูดคุยได้ปกติร่างกายก็เริ่มมีเนื้อมีหนังดูสดใสขึ้นมาก
“อืม...นางชื่อเย่วซินหรือ?”
“ขอรับ ช่วงนี้นางป่วยเลยไม่ได้มาหานายท่าน แต่ว่านายท่านรู้ได้อย่างไร นางมาตอนนายท่านหลับทุกครั้งเลยนี่ขอรับ” เกาซูหลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“บางครั้งยามข้าตื่นก็เห็นนางนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ แต่ทำไมนางต้องมายามข้าหลับด้วยเล่า” หานเสวี่ยถังเอ่ยถาม
“คุณหนูเย่วซินกลัวนายท่านรังเกียจที่ใบหน้าของนางอัปลักษณ์ขอรับ” เกาซูหลางเอ่ยตอบ
“ข้ามีนิสัยเช่นนั้นหรือ? เหตุใดต้องกลัว”
“ใช่ขอรับ นายท่านด่าว่านางว่าอัปลักษณ์และไม่ยอมให้นางเข้าใกล้อีกด้วย” เกาซูหลางเอ่ย
“เหลวไหล เจ้าคงหูฝาดไปแล้วกระมังข้าไม่มีนิสัยเช่นนั้นหรอก” หานเสวี่ยถังเอ่ยด้วยความมั่นใจเพราะว่าตนไม่เคยดูหมิ่นผู้ใดเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกแน่นอน
“อ่อ...ข้าน้อยคงหูฝาดไปเองขอรับ” เกาซูหลางเอ่ยเสียงแผ่วยอมรับเพราะไม่อยากถกเถียง นายท่านคงจำไม่ได้เพราะตอนนั้นมีอาการคลุ้มคลั่งกำเริบ
“ข้าอยากไปเยี่ยมนาง” หานเสวี่ยถังเอ่ย
“แต่นายท่านร่างกายยังไม่แข็งแรงไม่ควรออกไปตากลมด้านนอกนะขอรับ อีกอย่างตอนนี้ฝนก็กำลังจะตกแล้ว” เกาซูหลางเอ่ยแย้งเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นนายออกไปด้านนอกกลัวว่าอาการจะแย่ลงไปอีก
“อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าพาข้าไปเดินเล่นตรงสวนด้านหน้าหน่อยข้าเบื่ออุดอู้ในห้องเต็มทีแล้ว”
“ได้ขอรับนายท่าน” เกาซูหลางเอ่ยจบก็รีบประคองผู้เป็นนายเดินออกมาด้านนอกโดยไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมผืนหนาออกมาด้วยเพราะอากาศบนเขานี้ค่อนข้างหนาวแถมยังมีฝนตกลงมาบ่อยอีกด้วย
ทางด้านเย่วซินตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ได้ออกไปทำหน้าที่สาวใช้อีกเลย วันๆอยู่แต่ในห้องกินและนอนจนเบื่อเต็มทน ตอนนี้บาดแผลก็หายเจ็บแล้วเหลือเพียงตัดไหมออกเพียงเท่านั้น
“พี่จางฮั่นและพี่จางฮ่าวข้าฝากท่านช่วยดูแลคนในครอบครัวของข้าด้วยนะเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยบอกคนคุ้มครองของตนเองที่หลายวันมานี้เขาช่วยส่งข่าวคราวมาให้นางรับรู้อยู่เสมอ
“ขอรับคุณหนู” ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง
“อ้อ..ข้าฝากสิ่งนี้ไปให้พี่อาฉีด้วยเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมหยิบของอย่างออกจากแหวนจัดเก็บและส่งให้จางฮั่นทันที เมื่อเรียบร้อยทั้งสองก็หายวับจากไป
“ทำไมข้าถึงหายตัวแบบนี้บ้างไม่ได้นะโคตรเทพเลยจริงๆ” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายเป็นที่สุด เมื่อมองออกไปด้านนอกพบว่าฝนเริ่มตกลงมาอีกแล้วที่นี่อยู่บนเขาอากาศแปรปรวนเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝนตกพาให้ขี้เกียจยิ่งนัก
เย่วซินหยิบขลุ่ยหยกออกมาจากแหวนจัดเก็บและเริ่มเป่าบรรเลงบทเพลงที่ชื่นชอบ เสียงขลุ่ยกังวานแว่วเคล้าเสียงฝนพาให้ยิ่งไพเราะจับใจ เย่วซินเป่าขลุ่ยด้วยความผ่อนคลายสบายอารมณ์ ทำให้คนที่ได้ยินบทเพลงต่างมีความสุขและผ่อนคลายไปด้วย
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเสียงขลุ่ยของเจ้ามันก็ทำให้คนฟังรู้สึกดีได้นึกว่าคนที่ได้ฟังจะต้องทรมานทุกครั้งเสียอีก” จ้าวไท่เหว่ยเดินเข้ามาภายในห้องส่วนตัวของเย่วซินเพราะเสียงขลุ่ยที่ไพเราะและผ่อนคลายอารมณ์
“ขลุ่ยชิ้นนี้มันทำงานตามความรู้สึกของข้า” เย่วซินหยุดเป่าขลุ่ยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยจากทางด้านหลังและหันไปตอบอย่างภาคภูมิใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...