เวลานี้ ข้างนอกประตูมีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น เสิ่นเผยซวนออกไปดู รถสีดำคันหนึ่งจอดตรงข้างถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลนเปียกๆ พอมองผ่านกระจกหน้ารถเขาก็เห็นว่าคนขับข้างหน้าคือซูจ้าน ก่อนจะตามด้วยประตูหลังที่ถูกเปิดออก เป็นจงจิ่งห้าวที่เดินลงมา
เขาสวมสูทสีดำดูเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีที่ติ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ได้อย่างไร ดูไร้ซึ่งอารมณ์ เงียบสงบราวกับน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นสระ
เสิ่นเผยซวนชิ้นกับท่าทีและอารมณ์ของเขาที่เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว ตั้งแต่ที่หลินซินเหยียนจากไป เขาก็กลายเป็นคนที่พูดน้อยลง นอกจากเป็นเพราะเรื่องของเหวินชิงเขาเลยยอมออกมา เพราะส่วนใหญ่ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบริษัท
ส่วนเขากลับซูจ้านค่อยดีขึ้นมาหน่อย ตอนนี้คนที่มีสภาพเหมือนตกนรกทั้งเป็นก็คือกวนจิ้ง เวลาสั้นๆ ตลอดหนึ่งเดือนนี้ จงจิ่งห้าวเอาเวลาทั้งหมดไปเธลงที่การทำงาน ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการในการพัฒนาบริษัทหรือเปล่า โดยอาจเป็นเพราะตัวเองว่างมากเกินไป สรุปก็คือรับซื้อบริษัทใหญ่ภายในประเทศไปแล้วสองบริษัท
ในพื้นที่ทำงานของว่านเยว่กรุ๊ป บรรยาศเต็มไปด้วยความอึมครึมอย่างแปลกประหลาด ครั้งที่แล้วที่เขาไปเจอกวนจิ้ง
กวนจิ้งก็บ่นกับเขาว่า จงจิ่งห้าวคงเป็นบ้าไปแล้ว ได้ยินว่ามีครั้งหนึ่งประชุมตั้งแต่เก้าโมงเช้า ยาวไปจนถึงบ่ายสาม ปาเข้าไปหกชั่วโมงเต็มๆ
แม้แต่ตอนพักเที่ยงก็ไม่ยอมปล่อยพนักงานไปกินข้าว แล้วไม่ยอมให้ใครก็ตามเข้าไปในห้องประชุมโดยไม่ได้รับอนุญาต แก้วน้ำบนโต๊ะที่ดื่มเสร็จแล้วก็ไม่มีใครกล้าไปแตะ จะไปเข้าห้องน้ำก็ต้องกลั้นเอาไว้ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทร้อยกว่าท่าน แต่ละคนก็เจ็บปวดและกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงนั่งเฉยๆ จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ยังทำไม่ได้เลย ตอนนั้นบรรยากาศเคร่งเครียดมาก ถ้างานที่เขามอบหมายให้ทำให้เสร็จ หรือไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ
ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าคนกี่คน ก็จะโดนคำพูดประโคมใส่หน้าใส่หัวอย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว
เวลาสั้นๆ หนึ่งเดือน ก็สามารถรับซื้อบริษัทใหญ่สองแห่งได้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าทำงานหนักแค่ไหน
ถึงตอนที่อยู่กับพวกเขา จะทำหน้าเย็นชาไปบ้าง แต่ไม่โดน' ปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ' ก็พอแล้ว
เสิ่นเผยซวนรู้สึกโชคดี เขาเดินเข้ามาแล้วพูดเสียงต่ำๆ " ดูเหมือนจะเจอกุ้งแห้งที่ไม่เคยเผชิญโลกเข้าเสียแล้ว จากที่กูทำการซักไซ้นะ เหมือนจะรู้เรื่องบางอย่างว่ะ แต่ก็ไม่รู้อะไรมาก "
จงจิ่งห้าวยังคงทำหน้าเย็นชาเช่นเดิม " สารภาพแล้วว่างั้น "
" ยังเลย กูรอให้มึงมานี่แหละ " เสิ่นเผยซวนก้มหน้าแล้วเอานิ้วคลึงจมูก เพราะไม่กล้ามองหน้าเขา จงจิ่งห้าวมองไปที่เขา แล้วเดินเข้าไป
ซูจ้านที่อยู่ข้างหลังก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน เสิ่นเผยซวนหน้าเขาไว้แล้วพูดเสียงเบาๆ " มึงว่าเราควรจะไปหาที่ลับๆ คุยกันไหม "
เพราะอยู่กับคนที่อารมณ์หม่นหมองไม่ราบเรียบอย่างไอ้หมอนี้ทั้งวัน เขาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ซูจ้านมองไปยังเสิ่นเผยซวน ควรจะพูดอย่างลังเล " ถ้ามันรู้จะโกรธมั้ยเนี่ย "
เขาไม่ได้ไปหาเอง พวกเขาให้ร่วมมือกัน มันจะทำให้อีกฝ่ายโกรธหรือเปล่า
" ก็แอบๆ สิวะ อย่าให้มันรู้ " เสิ่นเผยซวนมองไปที่ซูจ้านราวกับว่าเขาเป็นคนโง่ ถึงจะพูดมันเป็นความลับ แต่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายรู้หรอก เก็บความลับนี้ต่อไป
" ดี งั้นคืนนี้เราสองคนไปหาที่คุยกันเงียบๆ สองคน " ซูจ้านถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ " ในที่สุดก็มีคนน่าสมเพชกว่ากูแล้วว่ะ "
เสิ่นเผยซวนมองเขาอย่างหมดคำจะพูด
ซูจ้านยิ้มกว้างกว่าเดิม " แต่ไม่รู้สิ กูรู้สึกว่าในใจมันยุติธรรมแบบแปลกๆ พอรู้ว่าฉินยาไม่ได้อยู่ที่นี่ในเวลานี้ ฉันฝืนยิ้มออกมาอย่างทรมานไหม มึงก็ไม่รู้หรอก แต่มันรู้ " เขาชี้นิ้วไปทางห้องที่จงจิ่งห้าวเพิ่งเข้าไป ก่อนจะขยับตัวไปใกล้เสิ่นเผยซวน " มันน่าสงสารกว่ากูอีก ทั้งลูกทั้งเมียหนีไปหมดเลย "
ตอนนี้เขาคงเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ อารมณ์ดีสิถึงจะแปลก
เสิ่นเผยซวนข้างนอกมาแห้งๆ " ทำไมกูจะรู้สึกว่ามึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นวะ "
ซูจ้านรีบกลับมาทำตัวสุขุมอีกครั้ง " มึงก็พูดไปเรื่อย กูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นตรงไหน กูแค่....จริงๆ ก็นิดหน่อย ตอนนี้มันก็รู้ถึงความทุกข์กูแล้วไง "
เสิ่นเผยซวน " ...... "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม