นักพรตคิดดูแล้วก็เอ่ยว่า “สอบติดเป็ นจิ้นซื่อ คิดดูแล้วน่าจะไม่มี ปัญหามาก ผินเต้าเคยอ่านบทความของจางโหวมาก่อน เขียนได้ อย่างดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนด้วยตัวอักษรก่วนเกือที่เป็ น ระเบียบเรียบร ้อยแต่ไม่ขาดเสน่ห์ความงาม ไม่ว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิ ครั้งนี้ใครจะมารับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้ตัดสิน ไม่ว่าใครได้เห็นก็ล้วน ต้องชื่นชอบ”
ภายใต้คาขอร ้องจากเซวียหรูอี้ นักพรตจึงมักจะไปที่ตลาดขาย หนังสือของเมืองหลวงเพื่อช่วยซื้อตัวอย่างบทความในสนามสอบที่ เย็บเข้าเล่มมาให้เด็กหนุ่มอยู่หลายเล่ม นักพรตเป็ นคนเจ้าเล่ห์จึงได้ กาไรจากราคาส่วนต่างของตาราพวกนี้มาค่อนข้างเยอะ
นักพรตเดินไปถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง ผีสาวลอยกลาง อากาศตามหลังมาตลอดทาง นักพรตควักกุญแจออกมา แต่กลับไม่ รีบร ้อนเปิดประตู นางยิ้มเอ่ย “ในห้องมีอะไรให้คนเห็นไม่ได้กัน? คง ไม่ใช่ว่านักพรตอู๋ซ่อนสาวงามเอาไว้หรอกนะ?”
นักพรตพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ดึกดื่นค่าคืนเช่นนี้ ถึงอย่างไร ชายหญิงก็ไม่ควรอยู่ชิดใกล้ ชายหญิงอยู่ร่วมเรือนกันสองต้องสอง ไม่ดี ต้องหลีกเลี่ยงข้อครหา”
นางหัวเราะหยัน “เจ้าเป็ นนักพรต ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่ชอบ พูดจาคลุมเครือเสียหน่อย”
นักพรตเอ่ยอย่างมีเหตุผลชอบธรรม “ผินเต้าเองก็เคยอ่านต ารา อริยะปราชญ์ดีๆ มาหลายเล่ม หากไม่เป็ นเพราะตอนอายุน้อยจับผลัด จับผลูขึ้นเขา เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนป่ านนี้ก็คงช่วงชิงเอายศ ตาแหน่ง เดินสู่วงการขุนนางที่มีอนาคตยาวไกลไปแล้ว”
นางหยิบกระบอกพู่กันใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัด ข้อมือ พึมพ าพูดกับตัวเองว่า “ของตกแต่งในห้องหนังสือที่งามประณี ติเช่นนี้ ควรจะเอาไปวางไว้ที่ไหนดีนะ”
ดวงตานักพรตเป็ นประกายวาบ ใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหู เปิ ดประตูห้อง ผลักออกเบาๆ แล้วเบี่ยงกายผายฝ่ ามือข้างหนึ่ง ออกมา “ฟ้ าสว่างแสงจันทร ์กระจ่าง ขอแค่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ไยต้องกลัวค านินทา แม่นางเซวียรีบเข้ามาเถอะ”
ในเรือนหลังนี้มีห้องค่อนข้างเยอะ แต่นักพรตกลับเลือกห้องเล็ก ห้องนี้เป็ นที่พักอาศัยใช ้ค าพูดของเขาก็คือบ้านหลังใหญ่ได้ แต่ ห้องนอนต้องเล็ก จะได้รวบรวมลมปราณ
กลิ่นอายวสันต์เปลี่ยนมาเป็ นอบอุ่น เสียงแมลงดังลอดผ่านม่าน เขียวโปร่งบาง
เข้ามาในห้อง นางวางกระบอกพู่กันทรงหกเหลี่ยมฉลุลายมังกร เคลือบสีน้ามันสีแดงลงลายเส้นสีทองลายกิ่งดอกบัวกระหวัดพันลง บนโต๊ะเบาๆ
นักพรตหยิบตะบันไฟออกมา จุดไฟบนตะเกียงน้ามันดวงหนึ่งที่ อยู่บนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้ด้านข้างห้องโถงใหญ่ของเรือนหลังนี้คือห้องบุปผาที่ ใช ้รับรองแขก ในห้องวางกระบอกพู่กันใบนี้เอาไว้ นักพรตเป็ นคนที่ มองของออกจึงอยากได้มานานแล้ว
แต่ตอนนั้นปากเขากลับพูดว่าไม่ได้อยากได้ ก็แค่ว่าเห็นของดี ทุกคนล้วนมีใจรักชอบของสวยของงาม ชื่นชม เป็ นเพียงความชื่น ชมล้วนๆ
อันที่จริงยังมีขลุ่ยไม้ไผ่ที่เก็บรักษาไว้อย่างดีมานานหลายปีอีก เลาหนึ่ง มีอายุหลายปีแล้ว แกะสลักเป็ นอักษรสีเขียวในแนวตั้งคาว่า จิตใจวีรบุรุษมีท านองดุจเทพเซียน
นักพรตเห็นแล้วก็ชอบทันที ยินดีจ่ายราคาสูงซื้อมา คาว่าราคา สูงก็แค่เทียบกับค่าใช ้จ่ายของชาวบ้านร ้านตลาดเท่านั้น สองร ้อย ตาลึงเงิน นางไม่มีหูอยากจะรับฟังด้วยซ้า
บนโต๊ะวางแผ่นกระจกใสสมบูรณ์ชิ้นหนึ่งทับไว้บนหน้าโต๊ะ
เห็นเพียงว่าบนโต๊ะมีคัมภีร ์ปี กหนึ่งที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบ บรรจงขนาดเล็ก นางถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าเป็ นนักพรต คัดลอก คัมภีร ์ของลัทธิพุทธไปท าไม?”
นักพรตยิ้มเอ่ย “แค่บางครั้งเท่านั้น ใช ้ทาให้จิตใจสงบสุข”
นักพรตยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาสองตัว พวกเขานั่งอยู่ห่างกันมาก เซวีย หรูอี้นั่งลงแล้วก็โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ข้อศอกเท้าไว้กับที่พัก แขนเก้าอี้ มองนักพรตวัยกลางคนอยู่อย่างนั้น
นักพรตถูกนางมองจนรู้สึกไม่เป็ นตัวของตัวเอง ถามว่า “คืนนี้แม่ นางเซวียมาเยี่ยมเรือนโกโรโกโสของข้า มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
เชวียหรูอี้กล่าว “คาโบราณว่าไว้ ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้าน ใกล้เคียง อู๋ตี เจ้าคิดว่าคากล่าวนี้มีเหตุผลหรือไม่?”
นักพรตพยักหน้า “แน่นอน หลักการเหตุผลเก่าแก่มีเหตุผลที่สุด แล้ว มีนัยให้ขบคิดอย่างยิ่ง”
นางลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร ้อง จริงๆ หวังว่าเจ้าจะช่วยน าร่างต้นฉบับรวมบทกวีของจางโหวไปส่งต่อ ให้กับบัณฑิตท่านหนึ่งของสานักบัณฑิตฮั่นหลิน”
นักพรตหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปพักใหญ่ เหลือบตามอง กระบอกพู่กันล้าค่าบนโต๊ะ “กลัวก็แต่ว่าผินเต้าจะได้เจอแค่คนเฝ้ า ประตู ไม่ได้เจอใต้เท้าบัณฑิตที่สถานะสูงศักดิ์ท่านนั้นน่ะสิ”
เซวียหรูอี้ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
ในใจนักพรตเกิดความกังขา ท าไมนางถึงได้ร ้อนรนวุ่นวายใจ เช่นนี้ หรืออยากจะให้จางโหวสอบผ่านเคอจวี่เป็ นปลาหลีกระโดด ข้ามประตูมังกรขนาดนี้จริงๆ? หากจะบอกว่าเพื่อความสูงศักดิ์ร่ารวย ด้วยทรัพย์สมบัติที่นางมีอยู่ก็รับรองได้ว่าคนหลายรุ่นของเด็กหนุ่มจะ ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่อีกต่อไป ต่อให้จางโหวได้เป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณที่สถานะถูกอ าพรางเอาไว้แล้ว ในอนาคตบนเส้นทางการ ฝึกตน ทุกสิ่งที่จาเป็ นสาหรับก่อนหน้าที่จะเลื่อนขั้นเป็ นห้าขอบเขต กลาง นางก็สามารถรับประกันได้ว่าจางโหวจะไม่ต้องกลัดกลุ้ม อีกทั้ง จางโหวยังอายุน้อยแค่นี้ คิดอยากจะอาศัยการเลื่อนขั้นในวงการขุน นางก็ไม่จ าเป็ นต้องร ้อนใจขนาดนี้เลย
ผีสาวเซวียหรูอี้กับเด็กหนุ่มจางโหวเวลาปกติเรียกขานกันเป็ น พี่สาวกับน้องชาย มองออกว่าอันที่จริงจางโหวรู ้ถึงตัวตนผีสาวของ นางแล้ว
นางเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เป็ นข้าที่ป่ วยหนักจนหาหมอส่งเดช (เปรียบเปรยถึงการท าอะไรโดยขาดการพิจารณาหรือการตัดสินใจที่ รอบคอบ เพราะสถานการณ์เร่งด่วนหรือวิกฤต) หากจางโหวรู ้เรื่องนี้ เข้าจะต้องต าหนิข้าไปตลอดชีวิตแน่”
นักพรตมองออกว่าเด็กหนุ่มคือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอย่างไม่ต้อง สงสัย แต่กลับไม่ถือว่าเป็ นตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่ดีอะไร คุณสมบัติ
ของเขาธรรมดา หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็ยากจะเลื่อนเป็ นขอบเขต ถ้าสถิตได้
มนุษย์ธรรมดา ตระกูลสูงศักดิ์ร่ารวย มีชีวิตกินดีอยู่ดี พิถีพิถัน ในเรื่องที่ว่าพักอาศัยเลี้ยงลมปราณย้ายถิ่นฐานเลี้ยงร่างกาย (เปรียบ เปรยว่าฐานะและสภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของ คน การฝึกฝนบ่มเพาะตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของคน ได้) ย้อนกลับมามองผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่าจะเป็ นคนผีหรือภูติล้วนมี ความลี้ลับที่แตกต่างกันออกไป มีการพลิกแพลงคาว่าพักอาศัยเลี้ยง ลมปราณย้ายถิ่นฐานเลี้ยงร่างกายนามาใช ้ได้อย่างยอดเยี่ยม มองดู เหมือนท าตรงกันข้าม ต่อให้ไม่ใช่ถ้าสถิตพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่อยู่ ในภูเขาลึก แค่หาห้องแห่งหนึ่งที่เงียบสงบมานั่งเข้าฌาน เก็บรวบเอา ความคิดที่สับสนวุ่นวายให้เป็ นความคิดหนึ่งเดียวที่นิ่งสงบ เรือนกาย เส้นเอ็นและกระดูกล้วนไม่ขยับไหวเลือดลมกลับเคลื่อนที่ไปตามจิต วิญญาณ ค่อยๆ ดูดซับเอาปราณวิญญาณฟ้ าดินมาหล่อหลอมโครง กระดูกนับร ้อยให้เป็ นเหมือนกิ่งทองใบหยก นับแต่นี้กลายเป็ นความ ต่างระหว่างเซียนกับมนุษย์ธรรมดา
จวนแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ โดยเฉพาะเรือนด้านหลังที่ มีต้นไม้โบราณเต็มไปหมด ยามกลางดึกผู้คนพากันนอนหลับ บรรยากาศเงียบสงัด เสียงนกกลางคืนร ้องดังแว่วมา
ผีสาวลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “อู๋ตี เจ้าถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดถึงเรื่อง นี้ก็แล้วกัน”
นักพรตลุกขึ้นตาม “ไม่เป็ นไร หากวันใดต้องการทาแบบนี้จริงๆ แม่นางเซวียก็บอกกับผินเต้าสักคา อย่าว่าแต่จวนมหาบัณฑิตที่ธรณี ประตูสูงเลย ต่อให้เป็ นภูเขามีดทะเลเพลิงผินเต้าก็ไปให้ได้”
ผีสาวคลี่ยิ้มหวาน “นักพรตอู๋ไม่ไปเป็ นลูกสมุนให้กับพวกผู้มี อ านาจในเมืองหลวงก็ช่างใช ้ความสามารถได้ไม่เต็มที่เลยจริงๆ”
นักพรตเอ่ยอย่างจนใจ “ค าว่าลูกสมุนสุนัขรับใช ้ไม่น่าฟังเอา เสียเลย แม่นางเซวียต้องบอกว่าให้ไปเป็ นกุนซือหรือผู้ช่วยสิ”
นางยื่นมือออกไปลูบ เก็บกระบอกพู่กันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออีก ครั้ง เดินนวยนาดจากไป
นักพรตห้ามไม่ทัน จึงได้แต่เบิกตามองเป็ ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป
ผีสาวเดินลอดระเบียงไปเพียงลาพัง มาถึงเรือนด้านหลังก็เดินขึ้น ไปบนหอเรือน จากตรงนี้จะมองเห็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในเรือนติดกัน แสง สีเหลืองนวลส่องลอดหน้าต่างห้องหนังสือออกมา
แสงจันทร ์ในเมืองฉางอันสาดส่อง ทุกครัวเรือนมีเสียงทุบผ้าดัง แว่ว ปลุกให้คนนับไม่ถ้วนตื่นจากความฝันวสันต์อันงดงาม
นักพรตเก็บคัมภีร ์ที่คัดไว้เรียบร ้อยแล้วบนโต๊ะลงไป เปิดลิ้นชัก หยิบมีดแกะสลักและก้อนหินออกมา เริ่มแกะสลักตราประทับ หนึ่งใน นั้นมีตราประทับหนังสือคู่หนึ่งที่รูปร่างเหมือนกัน และตัวอักษร ด้านล่างก็แกะสลักเอาไว้เหมือนกัน ยามนี้แกะสลักตัวอักษรริมขอบ เพิ่มมาอีกสองประโยค
ผู้คนพากันทาความดี อย่าเฉียดกรายเข้าใกล้ความชั่ว ช่วยเหลืออย่าได้หวังสิ่งตอบแทน ได้รับความช่วยเหลือควรจดจ าอย่า ลืมเลือน
แกะสลักตราประทับเสร็จอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นนักพรตก็ อาศัยแสงตะเกียงอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นเล่มหนึ่ง การจัดพิมพ์ ตาราของเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก เขาจึง ได้ซื้อหนังสือดีๆ จากที่นี่ไปไม่น้อย
อ่านต าราเล่มใหม่เหมือนผืนดินแห้งแล้งมานานเจอกับฝนหวาน ฉ่า เปิดตาราเล่มเก่าเหมือนคนรักจากลากันระยะสั้นๆ หอมหวานยิ่ง กว่าเพิ่งแต่งงานใหม่
คัดตาราต้องนั่งตัวตรง อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดทาตัวตามสบายได้ นักพรตจึงนั่งไขว่ห้าง หยิบเอาเมล็ดแตงออกมาหนึ่งกามือ แทะเมล็ด แตงพลางพลิกเปิดหน้าหนังสือไปด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!