เนื่องจากจางอวี่เจี่ยวมาจากสกุลจางเขตเทียนเฉา ดังนั้นจึง เข้าใจเรื่องวงในที่เปิดเผยไม่ได้มากกว่าจินหลวี่ ยกตัวอย่างเช่นภูตผี ที่สวามิภักดิ์ต่อภูเขาเหอฮวาน อาศัยการดาเนินการและสานสะพาน ความสัมพันธ ์อย่างลับๆ ของจวนซานจวินสองแห่ง แต่ละตนจึงได้ กลายเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเถื่อนในท้องถิ่นของหลายแคว้น ขอ แค่มีเงินเทพเซียนมากพอคิดจะได้รับการแต่งตั้งจากราชสานักบาง แห่งอย่างเป็ นทางการก็ยังได้ แน่นอนว่าระดับขั้นของท าเนียบภูเขา สายน้าจะต่าอย่างมาก ได้แต่อยู่บนบันทึกรายชื่อเล่มรองของวงการ ขุนนางขุนเขาสายน้าของแคว้นตัวเองเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ถูกบันทึก ลงในเอกสารของส านักศึกษา ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานะป๋ ายซูซึ่ง เป็ นเสมียนชั้นผู้น้อยในที่ว่าการอาเภอ ไม่มีตาแหน่งที่จัดสรรโดย ราชส านัก
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าจวนป๋ ายที่เป็ นผีผู้นั้น คาดว่าเขาคงอยากจะ อาศัยโอกาสในการเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวิวาห์มอบเงินก้อนหนึ่งให้ แล้วกอดขาใหญ่ของภูเขาเหอฮวานเอาไว้เพื่อที่จะได้ย้ายไปรับ ต าแหน่งจ าพวกเทพอภิบาลเมืองประจ าอ าเภอ
เป็ นเหตุให้ภูเขาเหอฮวานที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาถูกอาจารย์ผู้ เฒ่าหงเอ่ยเย้ยหยันเป็ นการส่วนตัวว่า “ช่างสมกับเป็ นที่ว่าการสอง
กรมอย่างกรมขุนนางและกรมพิธีการของบนภูเขาส าหรับหลาย แคว้นจริงๆ
เฉิงเฉียนที่เป็ นราชครูของแคว้นชิงซิ่ง เหตุใดคราวก่อนถึงไม่ เดินทางมาพร ้อมกับสกุลจางเขตเทียนเฉาที่มีความสัมพันธ ์ดีเยี่ยม ต่อกัน?
ก็ไม่ใช่เพราะหยกลัญจกรสามชิ้นนั้นหรอกหรือ เพราะฮ่องเต้ ของแคว้นชิงซิ่งมีจุดอ่อนที่ถูกกุมอยู่ในมือของภูเขาเหอฮวาน
จินหลวี่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยอย่างใคร่รู ้ว่า “อวี่เจี่ยว ก่อน หน้านี้เจ้าบอกว่าราชวงศ์อวิ๋นเซียวต้องการทุบป้ ายศิลาหกป้ ายใน เขตแคว้นทิ้ง แต่ภายหลังกลับเงียบไป เป็ นเพราะอะไรหรือ? ไหนบอก ว่าชุยฉานผู้นั้นตายไปแล้วอย่างไรเล่า? สกุลซ่งต้าหลีก็ถอยกลับ พื้นที่ทางเหนือของลาน้าใหญ่ไปตามสัญญาแล้ว ตามเหตุตามผล แล้วทุกวันนี้ราชสานักต้าหลีไม่ได้สนใจเรื่องการปกครองในแคว้น ต่างๆ ทางทิศใต้อีก เก็บป้ ายศิลาบนยอดเขาพวกนั้นไว้ก็ราคาญลูก ตามากไม่ใช่หรือ? ราชสานักในท้องถิ่นและเซียนซือบนภูเขาต้องไม่ ยินดีเก็บป้ ายศิลาเอาไว้ต่อแน่นอน ราชวงศ์อวิ๋นเซียวกังวลว่าราช ส านักต้าหลีจะกล่าวโทษหรือ? แต่ทุกวันนี้กฎของศาลบุ๋นรุนแรงมาก ต่อให้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีจะร ้ายกาจแค่ไหนก็คงไม่อาจกรีฑา ทัพลงใต้ได้อีกครั้งหรอกกระมัง?”
นับตั้งแต่เด็กมานางก็ฝึกตนอยู่ในภูเขา หนึ่งเพราะอายุน้อย สอง เพราะกฎระเบียบของพรรคจินแชวเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ผู้
สืบทอดที่ขอบเขตต่ากว่าห้าขอบเขตล่างรู ้เรื่องราวในโลกมนุษย์นอก ภูเขามากเกินไป
ดังนั้นเกี่ยวกับสงครามโหดร ้ายที่เผ่าปี ศาจแห่งเปลี่ยวร ้างบุก โจมตีมาตลอดทางจนถึงลาน้าใหญ่และเมืองหลวงสารองของต้าหลี นางจึงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น อีกทั้งยังเป็ นเพราะครั้งนี้ติดตามศิษย์ พี่ชายหญิงทั้งหลายออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกถึงได้ยิน เรื่องราวบางอย่างมาเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็ นเพราะครั้งนี้นาง แอบออกมาจากเมืองหลวงเองโดยพลการ เดินทางมาพร ้อมกับจา งอวี่เจียว นางอาศัยบทสนทนาที่มีกับเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนนี้จึงได้รู ้ เรื่องบนภูเขาที่แท้จริงมาไม่น้อย เรื่องราวบนยอดเขา หรือสามารถ พูดได้ว่าเรื่องราวบนฟ้ าบางอย่าง เนื่องจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเคย สั่งห้ามเผยแพร่รายงานข่าวอยู่นานหลายปี สิ่งที่นางรู ้จึงมีแค่ข่าวที่ไม่ ประติดประต่อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ รับอนุญาตจากอาจารย์ นางเองก็ไม่กล้าซื้อรายงานภูเขาสายน้าจาก ท่าเรือตระกูลเซียนหรือโรงเตี๊ยมมาอ่านเอง
จากคากล่าวของจางอวี่เจี่ยว เมื่อหลายปีก่อนแคว้นต่างๆ ทาง ทิศใต้ซึ่งรวมถึงราชวงศ์อวิ๋นเซียวเป็ นหนึ่งในนั้นต่างก็กระเหี้ยน กระหือรือมีความคิดอยากจะท าลายป้ ายศิลาเพียงแต่ว่าไม่นานก็พา กันสงบเงียบไป ฟ้ าร ้องดังฝนตกเบา อยู่ดีๆ ก็ไม่มีเหตุการณ์ต่อมาอีก
จางอวี่เจี่ยวเผยสีหน้าเลื่อนลอยไปชั่วครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจ เข้าลึก เอ่ยว่า “ว่ากันว่าเพราะศิษย์น้องคนหนึ่งของชุยฉานที่เป็ นผู้ ฝึกกระบี่ ช่วงก่อนหน้านี้มีชีวิตรอดกลับมายังใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง”
เรียกชื่อของชุยฉานราชครูต้าหลีตรงๆ สาหรับบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของผู้ฝึกตนที่อายุค่อนข้างน้อย อันที่จริง ไม่ถือเป็ นการแสดงความไม่เคารพ กลับกันยังเป็ นมารยาทที่ออกจะ แปลกประหลาดอยู่บ้าง
จินหลวี่ถามอย่างสงสัย “ชุยฉานทรยศออกจากสายเหวินเซิ่งไป นานแล้วไม่ใช่หรือ? เขายังมีศิษย์น้องอีกหรือ?”
จางอวี่เจียวยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ”
จินหลวี่ยิ่งสงสัยมากกว่าเก่า “อีกอย่างก็แค่ผู้ฝึกกระบี่คนเดียว เท่านั้น จะสามารถสยบคนทั้งครึ่งทวีปได้เลยหรือ? คงไม่ได้เป็ นเซียน กระบี่ใหญ่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ “หรอกนะ?”
จางอวี่เจี่ยวเงียบไปพักหนึ่ง “ไม่ว่าจะเป็ นขอบเขตหรือคุณูปการ ข้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะถือรองเท้าให้คนผู้นี้ด้วยซ้า”
จินหลวี่ปากอ้าตาค้าง
จางอวี่เจี่ยวยิ้มบางๆ “แน่นอนว่าต่อให้โชคดีได้เจอคนผู้นี้ ข้าก็ ไม่มีทางถือรองเท้าให้เขา”
จินหลวี่อยากจะถามข้อมูลที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ให้มากกว่าเดิม แต่ เห็นได้ชัดว่าจางอวี่เจี่ยวไม่ยินดีจะพูดถึงผู้ฝึกกระบี่คนนี้มากไปกว่านี้ การสนทนาจึงจบลงอย่างค้างคา
เดินออกจากตีนเขาของยอดเขาโพโม่ไปแล้ว จางอวี่เจี่ยวก็เอ่ย ว่า “มั่นใจได้แล้วว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นไม่ใช่ขอบเขตสาม แต่เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่”
จินหลวี่จุ๊ปาก “อายุน้อยมากความสามารถ ถือเป็ นผู้มีพรสวรรค์ ด้านการฝึกวรยุทธคนหนึ่งได้แล้ว!”
มิน่าเล่าถึงกล้าบุกเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานเพียง ล าพัง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหลอมลมปราณคนหนึ่งที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี หาได้ยากมากแล้ว หากอดทนได้จนถึงอายุหกสิบ สามารถเลื่อนเป็ น ขอบเขตหก ในยุทธภพของแคว้นหนึ่งก็มากพอจะเรียกลมเรียกฝน กลายเป็ นแขกผู้มีเกียรติของจักรพรรดิและจวนแม่ทัพอัครเสนาบดี ได้เลย
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่คุณสมบัติในการฝึกตนดี แล้วขอบเขตก็จะเหมือนผ่าลาไม้ไผ่ พิถีพิถันในเรื่องของการไต่ขึ้นสู่ ที่สูงบนวิถีวรยุทธด้วยการปักหลักมั่นคงก้าวย่างอย่างมั่นคงมากที่สุด พรรคจินแชวก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็ นปรมาจารย์ผู้ถวายงานซึ่ง ได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก ขอบเขตร่างทอง ดูเหมือนว่าตอน อายุยี่สิบปีก็เพิ่งจะเป็ นคอขวดขอบเขตสี่เท่านั้น?
ทางด้านหลังสุด เจ้าจวนป๋ ายก าลังช่วยเล่าข่าวลือเล็กๆ บางอย่างให้เด็กหนุ่มฟัง
“ฮ่องเต้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่ง โอรสสวรรค์ในทุกวันนี้ อันที่จริงก็ คือฮ่องเต้กระดานขาว (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้ที่เป็ นแค่หุ่นเชิด ไม่มี อานาจที่แท้จริง) ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา”
เห็นว่าเด็กหนุ่มทาสีหน้าอยากถามแต่ติดขัดที่ศักดิ์ศรีจึงไม่เต็ม ใจจะเปิดปาก ป๋ ายเหมาก็ยิ้มอธิบายว่า “คาว่าฮ่องเต้กระดานขาวก็ คือฮ่องเต้ที่สูญเสียหยกลัญจกรที่สืบทอดแคว้นซึ่งสาคัญที่สุดไป หากเปลี่ยนรัชสมัยใหม่ก็ยังพอทาเนา แต่ชะตาแคว้นยังไม่ทันขาด สะบั้นหยกลัญจกรก็หายสาบสูญ แบบนี้จะเป็ นปัญหามากแล้ว หาก ถูกทาลายทิ้งไปแล้วก็ยังไม่เท่าไร แกะสลักขึ้นมาใหม่ก็ลดความ วุ่นวายไปได้มาก ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเล่าลือกันว่าหยกลัญจกรทั้งสาม ชิ้น “พลัดไปอยู่ในหมู่ชาวบ้าน’ หนึ่งเป็ นทอง หนึ่งเป็ นหยกเขียว อีก หนึ่งเป็ นไม้ถานเชียง ในบรรดาสมบัติทั้งหมดสิบสองชิ้นของฮ่องเต้ แคว้นชิงชิ่ง ตราลัญจกรหยกเขียวเอาไว้ใช ้แต่งตั้งตาแหน่งให้กับคน ต่างแคว้น สกุลหลิ่วไม่ใช่แคว้นใหญ่อะไร เดิมทีก็ตั้งไว้ให้ฝุ่ นเกาะ เฉยๆ อยู่แล้ว ส่วนตราลัญจกรไม้ถานมู่ที่เป็ นมังกรขดตัวกลับจัดการ ได้ง่ายฮ่องเต้สามารถเอาตราลัญจกรอันอื่นมาใช ้แทนได้ ส่วนที่เป็ น ปัญหามากที่สุดยังคงเป็ นตราลัญจกรโอรสสวรรค์ทายาทมังกรสีทอง ชิ้นนั้นที่เอาไว้สาหรับแต่งตั้งรัชทายาทโดยเฉพาะดังนั้นรัชทายาทที่ ก าลังจะสวมกวานของแคว้นชิงซิ่งจึงไม่ใช่บุตรชายคนโตสายตรง อีก
ทั้งราชสานักยังไม่มีหยกลัญจกรชิ้นนี้ นี่ก็ไม่ใช่แค่ว่าไม่ถูกต้องชอบ ธรรมแล้ว ไม่อย่างนั้นเคยได้ยินหรือว่าพิธีสวมกวานของรัชทายาท คนหนึ่งยังต้องเชิญให้คนนอกมาร่วมงานพิธี? ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วจะ เป็ นอะไร”
“แต่ก็มีข่าวบอกว่าตอนแรกเพื่อให้น้าหนักของการร่วมงานพิธี ครั้งนี้มีมากพอฮ่องเต้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งได้ไปขอร ้องคนโน้นคนนี้ ไปทั่ว สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงลาบากยากเข็ญนอกจากเจ้ากรมและรอง เจ้ากรมของกรมพิธีการแล้ว ขุนนางชั้นสูงของอีกห้ากรมที่เหลือและ ยังมีชนชั้นสูงของตระกูลต่างๆ ล้วนถูกส่งตัวออกไป ขอแค่เป็ นพรรค บนภูเขาที่พอจะมีชื่อเสียงสักหน่อย ขอแค่ยินดีมาเยือนเมืองหลวงก็ จะมอบเงินให้ทั้งหมด! เพียงแต่ว่าไม่รู ้ว่าท าไมจู่ๆ ถึงเงียบกันไป จวน เซียนหลายแห่งที่วางมาดใหญ่โตไม่มาก็ช่างเถอะ ภายในค่าคืนเดียว ขุนนางที่ต้องก้มหัวค้อมเอวทาตัวเป็ นลูกหลานให้กับเซียนซื่อ ทั้งหลายล้วนกลับเมืองหลวงกันมาหมด มีแค่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ เล็ด รอดออกมา ดูเหมือนว่าฮ่องเต้สกุลหลิ่วจะเชิญบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่ง มาได้แล้ว ส่วนจะเป็ นบุคคลยิ่งใหญ่แค่ไหน สวรรค์เท่านั้นที่รู ้ คง ไม่ได้เชิญสมาชิกในศาลบรรพจารย์ของส านักโองการเทพหรือภูเขา ตะวันเที่ยงมาได้หรอกกระมัง ข้าเดาว่าเป็ นแค่การสับขาหลอก หา บันไดลงให้กับตัวเอง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็ นเจ้าประมุขสกุลจาง เขตเทียนเฉาที่เชิญสหายบนภูเขามา อย่างมากสุดก็คงเป็ นแค่เซียน
ดินโอสถทองสามคนห้าคนที่มาช่วยให้การสนับสนุนเท่านั้น หาไม่ แล้วพวกเขาจะเชิญก่อกาเนิดคนหนึ่งมาได้เลยหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็ นแบบนี้นี่เอง ทาไม ตราลัญจกรทั้งหลายของแคว้นชิงซิ่งล้วนถูกภูเขาเหอฮวานชิง ไปได้หมดเลยหรือ?”
“เจ้าเดาได้ถูกแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!