เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กล่าว “ต่างก็พูดกันว่าต้นไม้ย้ายที่ตาย คน ย้ายที่รอด หากแม่นางหลิ่วมีความตั้งใจเช่นนี้ก็สามารถไปเสี่ยงดวงที่ พรรคห้าเกาะได้จริงๆ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าวันใดอาจถูก กองทัพของราชส านักต้าหลีร่วมมือกับเซียนซือบนภูเขามากวาดล้าง ก็ได้”
ป๋ ายเหมากระแอมหนึ่งที “อย่าพูดจาอัปมงคล”
แต่นางกลับไม่ถือสา “เป็ นผียังต้องกลัวความอัปมงคลอะไรอีก เล่า”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาท่ามุทราคานวณอยู่ในใจ พยักหน้าพึมพา กับตัวเอง “แม่นางหลิ่ว ข้าลองทานายจากแซ่หลิ่วของเจ้าแล้ว ไปที่ พรรคห้าเกาะสามารถท าได้!”
ผีสาวไร ้หัวยกมือขึ้นทาท่าปิดปากหัวเราะคิก “คุณชายเฉิน ข้า ไม่ได้แซ่หลิ่ว แซ่หลิ่ว กับเรื่องการตายเพื่อบูชารักล้วนเป็ นโลก ภายนอกที่เล่าลือกันไปเอง”
ป๋ ายเหมากลั้นขา
เด็กหนุ่มหดมือกลับมาช ้าๆ กินเนื้อหมักเต้าเจี้ยวต่อ กินชิ้น สุดท้ายหมดแล้วก็ขย ากระดาษน้ามันเป็ นก้อนยัดใส่ชายแขนเสื้อ ปัด
มือ ทาเพียงว่าบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่นี้ปลิวหายตามลมไป แล้ว ถามว่า “เจ้าจวนป๋ าย แม่นาง…หลิ่ว พาหนะจากกระดาษยันต์ ก่อนหน้านี้ มองดูแล้วทั้งแปลกใหม่ทั้งใช ้ได้จริง ซื้อมาจากไหนหรือ หลังจากได้มาแล้ว เวลาปกติมีค่าใช ้จ่ายเยอะหรือไม่?”
ป๋ ายเหมากล่าว “ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป แพงมากเลยล่ะ ว่ากัน ว่าของเล่นที่สามารถถือเป็ นเรือยันต์ส่วนตัวได้ประเภทนี้ หากเป็ น ท่าเรือเล็กที่อยู่ห่างไกลไปหน่อยก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีขาย ต่อให้ เป็ นท่าเรือตระกูลเซียนขนาดใหญ่ก็ยังต้องไปเสี่ยงดวงดู เป็ นของดีที่ พอมีก็ขายหมดทันที มีเงินก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาซื้อได้ ส่วนคน อย่างพวกเรา แค่มองดูก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มกล่าว “ข้าแค่ถามถึงยันต์ม้ายันต์นกหลวนที่ขี่ได้ไกล พันลี้ ต้องใช ้เงินเทพเซียนกี่เหรียญ”
ป๋ ายเหมาส่ายหน้า “ความลับประเภทนี้ จะรู ้ได้อย่างไร”
ผีสาวถือร่มยิ้มกล่าว “หากไม่เจอกับลมแรงและกระแสลมปราณ ที่พัดมาปะทะใบหน้าไม่จาเป็ นต้องทวนกระแสลมไกลเป็ นพันลี้เป็ น เวลานาน ค่าใช ้จ่ายก็ประมาณสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
ป๋ ายเหมาจุ๊ปาก ให้ตายเถะ นี่คือการใช ้เงินราวกับน้าไหลจริงๆ เลยนะ มือเติบเช่นนี้ไม่ค่อยคุ้มค่านัก ป๋ ายเหมาที่เพิ่งรู ้สึกตัวอย่าง เชื่องช ้า ถามว่า “ทาไมเจ้าไม่ถามว่าราคาขายของกระดาษยันต์แผ่น หนึ่งคือกี่บาทล่ะ?”
เด็กหนุ่มหัวเราะหยัน “โง่หรือไร ในกระเป๋ าข้าผู้อาวุโสมีเงินแค่กี่ แดงเอง จะซื้อได้หรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถามเรื่องค่าใช ้จ่ายเวลาปกติไปทาไม?”
“ก็เผื่อเก็บยันต์พาหนะที่เป็ นกระดาษถูกพับได้จากกลางทาง อย่างไรเล่า?”
ป๋ ายเหมาอดทนแล้วอดทนอีก
ผีสาวถาม “คุณชายเฉิน ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ เจ้าคือผู้ ฝึกยุทธเต็มตัวหรือ?”
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่จริงใจอย่างยิ่ง พยักหน้ารับโดยตรง “บอก ตามตรง เรียนวรยุทธฝึกหมัดมาตั้งแต่ตอนเป็ นเด็กหนุ่มแล้ว เพราะ คุณสมบัติพอใช ้ได้ อีกทั้งยังมีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ ดังนั้นจึง เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้สารพัดวิชา หลังจากฝึกวิชาหมัดได้สาเร็จ แล้วก็เริ่มเพิกเฉยแล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้จึงทุ่มเทกาลังไว้กับการฝึก วิชากระบี่ชั้นสูงมากกว่าใคร่ครวญว่าจะสร้างกระบวนท่ากระบี่ที่ยอด เยี่ยมมาได้อย่างไร ต้องการแบ่งแพ้ชนะกับคนวัยเดียวกันที่เป็ นทั้ง จุดอ่อนและเป็ นทั้งสหาย ขณะเดียวกันก็ควบฝึกวิชาสายฟ้ าและวิชา ค่ายกลไปด้วย แต่พูดได้แค่ว่าประสบผลสาเร็จเล็กน้อยเท่านั้น ยัง ไม่ได้เดินเข้าห้องอย่างแท้จริง ในสถานการณ์ทั่วไป ข้าไม่มีทางโอ้ อวดเรื่องพวกนี้กับคนนอกง่ายๆ การพูดคุยอย่างลึกซึ้งกับคนที่ไม่ สนิทสนมกันคือข้อห้ามใหญ่หลวงของคนในยุทธภพ แล้วนับประสา
อะไรกับที่ก็กลัวด้วยว่าหากไม่ทันระวังจะทาให้คนอื่นตกใจ เพียงแต่ เห็นว่าเจ้าจวนป๋ ายหน้าตาเหมือนคนดี แม่นางหลิ่วก็เป็ นคนจิตใจดี ก็ เลยไม่คิดมากอีก”
ป๋ ายเหมาอดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า “ทุกวันนี้เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน เชียว สิบสี่สิบห้า? ท าไมถึงบอกว่า “ฝึ กวรยุทธตอนเป็ นเด็กหนุ่ม” พูดว่า “ฝึกวรยุทธมาตั้งแต่ตอนเด็ก” จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?”
ส่วนวิชาสายฟ้ าอะไรนั่น เจ้าจวนป๋ ายไม่แม้แต่จะอยากถามด้วย ซ้า เขาเริ่มเคยชินเสียแล้ว เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานแซ่เฉินผู้นี้อ้า ปากได้ก็ชอบพูดไปเรื่อย
ผีสาวเองก็แค่ยิ้มรับ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
นางแค่รู ้สึกสงสัยว่าหากเด็กหนุ่มคนนี้เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่ ในขอบเขตหลอมลมปราณจริงๆ เหตุใดปราณหยางทั่วร่างที่โชติช่วง ถึงได้ถูกเก็บรวบไว้ภายใน แม้แต่นางและป๋ ายเหมาก็ยังแทบจะสัมผัส ได้ไม่ถึง?
นี่เกรงว่าคงจะเป็ นขอบเขตที่มีเพียงปรมาจารย์ผู้ฝึ กยุทธสาม ขอบเขตของหลอมจิตวิญญาณเท่านั้นที่ถึงจะทาได้กระมัง?
นางเคยโชคดีได้เจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตรร่างทองคนหนึ่งใน เมืองเล็กตีนเขา เดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรี ต่อให้ไม่ได้จงใจ ปลดปล่อยพายุลมกรดซึ่งเป็ นปณิธานหมัดของทั่วร่างออกมา แต่ สาหรับผีอย่างนางแล้วก็ยังเหมือนดวงตะวันเจิดจ้าที่กลิ้งอยู่บนพื้น!
ท าให้นางไม่กล้ามองสบตรงๆ เป็ นเหตุให้ในเมืองเล็กที่มีทั้งคนดีและ คนเลวปะปนกันแห่งนั้น คนหลายคนต่างพากันหลบเลี่ยงประกายคม กริบ ต่างก็ปิดประตูเรือน ไม่มีใครกล้าทิ้งถ้อยคาอามหิตไว้แม้แต่ครึ่ง ประโยค แต่รอกระทั่งคนผู้นี้เดินเข้าไปในร ้านเหล้าร ้านหนึ่ง สั่งเหล้า ชามหนึ่งมาดื่ม ภาพบรรยากาศของผู้ฝึกยุทธที่เหมือนดั่งดวงตะวัน แผดเผากลับหายวับไปในชั่วพริบตา กลายมาเป็ นว่าแทบไม่ต่างอะไร ไปจากมนุษย์ธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่เอ่ยเย้ยหยัน “ปัญญาชนยากจนคร่าครึ อาจารย์ผู้มีความรู ้งูๆ ปลาๆ รู ้แต่จะตีความหมายอักษรอย่างเคร่งครัด กับข้าผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้เจอกับเซียนกระบี่จางแห่งเขตเทียนเฉา ท าไมไม่เห็นเจ้าพูดอะไรสักค าเลยเล่า”
ป๋ ายเหมาอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เฉิน เหริน! ต่อให้เป็ นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะได้สามส่วน เจ้า เลิกพูดจาเหน็บแนมข้าผู้เป็ นขุนนางเสียที ไม่รู ้จักจบจักสิ้น ไม่กลัว ว่าข้าผู้เป็ นขุนนางจะแตกหักกับเจ้าจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอาจไม่ใช่ขุนนางที่ดีเสมอ ไป แต่กลับเป็ นคนดีทุกวันนี้ก็ได้แต่ถือว่าเป็ นผีที่ดีกระมัง อีกอย่าง พวกเราสองคนยังเป็ นพี่น้องที่แค่เห็นหน้าก็เหมือนรู ้จักกันมานาน คาพูดไม่น่าฟังแค่ไม่กี่ประโยค ทาไมถึงทนฟังไม่ได้เล่า การฝึ ก บ าเพ็ญตนในวงการขุนนางคือการฝึกบ าเพ็ญตน การฝึกบ าเพ็ญตน ในวันปกติก็เป็ นการฝึกบาเพ็ญตนเหมือนกัน พักอาศัยกินอยู่ กินดื่ม
ขับถ่ายล้วนเป็ นการฝึกบาเพ็ญตน ผู้ที่ฝึก บาเพ็ญตน จิตแห่งมรรคา จะยืนหยัดหนักแน่นหรือไม่ เป็ นสิ่งที่สาคัญอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ล่ะ?”
หากพูดถึงแค่ตรงนี้ ป๋ ายเหมาอาจจะยังฟังเข้าหูจริงๆ ปัญหาคือ ไอ้หมอนี่ยังมีคาพูดจากใจประโยคหลังตามมาด้วย “ข้าคือผู้ฝึกยุทธ เต็มตัว แน่นอนว่าไม่ต้องฝึกตนเช่นนี้ สิ่งที่ขัดเกลาในทุกช่วงเวลา ล้วนเป็ นวิชาหมัดเท้า ดังนั้นเจ้าอย่าพูดจาแปร่งหูที่วกวนไปมากับข้า หาไม่แล้วจะทาร ้ายมิตรภาพของพี่น้องกันเอง คนฝึ กวรยุทธอย่าง พวกเรา โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิชาหมัดนอกล้วนนิสัยเจ้าอารมณ์กัน ทั้งนั้น”
ผีสาวถือร่ม “มอง” เจ้าจวนป๋ ายด้วยสายตาที่คล้ายจะเวทนา ฝีเท้าที่เดินเนิบช ้าของนางเพิ่มความเร็วมากขึ้น เท้าไม่ติดพื้น ลอย ห่างเหยียบกลางอากาศไปไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!