“เฉินผิงอัน” คนแรกที่ลู่เฉินได้เจอก็คือเฉินจิ้วจือเค่อฝ่ ายนอก ของพรรคกิ่งไผ่บนภูเขาไฉอวี้
คนที่สองจึงจะเป็ น “เฉินเหริน” เด็กหนุ่มสะพายกระบี่สวมรองเท้า สานในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน
นี่คือการหวนกลับมามองครั้งหนึ่งของเฉินผิงอัน
เด็กหนุ่มตรอกเก่าโทรมในอดีตเคยเดินก้าวหนึ่งดูก้าวหนึ่ง คิด ไปไกลมากคิดไปเยอะมาก มองประเมินโลกที่แปลกหน้าและวิถีทาง โลกที่ไม่คุ้นเคยอย่างระมัดระวัง ความรักตัวกลัวตาย ความเคารพย า เกรงล้วนมาจากความหวาดกลัว
เป็ นเหตุให้นี่ก็คือ “ความสงสัย
ในอาณาเขตของอวี๋โจวราชส านักต้าหลี ในวัดส านักนิกายแห่ง หนึ่ง บัณฑิตที่คัดคัมภีร ์อยู่ทุกวัน บางครั้งก็มองก้อนเมฆที่ผุดขึ้นมา ในโลกมนุษย์
ลัทธิพุทธมีคากล่าวว่าต้องฝึกปฏิบัติศีล สมาธิและปัญญา เพื่อ ดับความโลภ โกรธ และหลง ส่วนสานักนิกายนั้นก็เป็ นที่ยอมรับว่า รักษาศีลเข้มงวดที่สุด
้
แต่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในวัดโบราณ ทุกวันดื่ม ชาชั้นเลวกินอาหารจืดชืด นอกจากจะคัดคัมภีร ์พุทธแล้ว ขณะเดียวกันกลับยังฝึกวิชาอสนีของลัทธิเต๋า ตอนที่อยู่ในศาลาที่ ยอดเขาแห่งนั้นก็ยังฝึกมนตร ์ศักดิ์สิทธิ์ของสายนิกายวัชรยานของ ลัทธิพุทธด้วย
ก าจัดจิต คือจิตอะไร? ก็คือ ‘ความโลภอีกทั้งเฉินผิงอันยังจงใจราดน้ามันลงบนกองเพลิง เดิมทีร่างแยก ร่างนี้ก็เป็ นความโกรธจากเจ็ดอารมณ์อยู่แล้ว จึงสามารถอาศัยสิ่งนี้ มาคอยขัดเกลาจิตแห่งมรรคาไปทีละนิด
นี่ต่างหากจึงจะเป็ น “ความโกรธ” ที่แท้จริง
อิ่นกวานผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วที่เกือบจะรื้อภูเขา ตะวันเที่ยงออกเป็ นเสี่ยงๆ บิบบังคับให้อีกฝ่ ายตั้งป้ ายศิลาไว้ริม ชายแดน
ทว่ากลับไปเป็ นจือเค่อฝ่ ายนอก ทุกเดือนรับเงินเดือนแค่ไม่กี่ เหรียญเงินเกล็ดหิมะอยู่ที่พรรคกิ่งไผ่ซึ่งเป็ นเพื่อนบ้านใกล้เคียงภูเขา
้
ตะวันเที่ยง และมีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งที่จะกลายเป็ นภูเขาใต้อาณัติ ของอีกฝ่าย
นี่ก็คือ “ความเชื่องช ้า” ที่มาจากภายในหัวใจซึ่งดูแคลนที่จะ แสดงออกภายนอก แล้วก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู ้หรือไม่!
ร่างแยกของเฉินผิงอันที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่ว พั่วที่เป็ นทั้งสถานที่พักผ่อน แล้วก็เป็ นทั้งสถานที่อ่านหนังสือมีหน้าที่ รับผิดชอบคอยรวบรวม จดบันทึกและเอาสิ่งที่ร่างแยกได้เห็นได้ยิน และขบคิดทุกอย่างจัดเก็บเข้าเอกสาร
บนโต๊ะหนังสือมีสมุดแปดเล่ม “หนังสือ” แต่ละเล่มหนาบางไม่ เท่ากัน เนื้อหาตัวอักษรก็มีมากน้อยต่างกันไป นอกจากสายต่างๆ อย่างนิกายฌาน นิกายวินัย นิกายสุขาวดี และยังมีความเข้าใจที่ได้ จากการคัดลอกและการอ่านตาราของลัทธิเต๋า มีทั้งบันทึกท่องเที่ยว มีทั้งจารึกภูมิศาสตร ์ เกี่ยวพันไปถึง “ตาราเบ็ดเตล็ด” มากมายซึ่งมี ส านักการทหาร ส านักกสิกรรม ส านักหยินหยางและศาสตร ์ของ ชัยภูมิฟ้ าดิน ทั้งยังเอาบุคคลเรื่องราวและสิ่งที่ร่างแยกทั้งหมดได้พบ เจอในโลกมนุษย์ล่างภูเขามาเรียบเรียงเป็ นต ารา หากน ายันต์ร่าง แยกเจ็ดสาแดงสองอาพรางที่ช่วยประคับประคองซึ่งมีดวงจิตซุกซ่อน อยู่เก้าดวงมองเป็ นตาราที่เรียบเรียงขึ้นเป็ นหนึ่งเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น “เฉินผิงอัน” ที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาก็จะเป็ นทั้งขุนนางผู้ ตรวจสอบและเป็ นทั้งขุนนางผู้เรียบเรียง ถือว่าทั้งเขียนและตรวจทาน ไปพร ้อมกันโดยไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง
้
นี่คือหลง
ต้องนาความรู ้และประสบการณ์ทั้งหลายมาทาให้กลายเป็ น ความรู ้ที่ดีงาม ทาลายกาแพงแห่งอวิชชาอย่างที่ลัทธิพุทธกล่าวถึง
เมื่อได้รู ้เรื่องวงในและแผนการพวกนี้ อวี๋เสวียนก็ทอดถอนใจชื่น ชม จุ๊ปากไม่หยุดพลันไม่รู ้ว่าควรจะเปิดปากเอ่ยอย่างไรดี
อวี๋เสวียนถามคาถามนอกเรื่องว่า “ระดมกาลังใหญ่โตเช่นนี้ เพียงแค่เพื่อฝ่ าทะลุขอบเขตหวนกลับไปเป็ นหยกดิบเท่านั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อเป่ยโต้วกาหนดตาย ถ้าอย่างนั้นมีแค้น ไม่ช าระ ข้าก็ไม่ใช่ข้าแล้ว”
ในเมื่อไม่ใช่การเข่นฆ่าบนสนามรบ ถือเป็ นความแค้นส่วนตัว ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งง่ายเลย ฆ่าคนต้องถอนรากถอนโคน
อวี๋เสวียนเงียบไปพักหนึ่ง ไม่มีปราณสังหารใดๆ เจินเหรินผู้เฒ่า ถึงขั้นสัมผัสไม่ได้ถึงริ้วกระเพื่อมแห่งจิตสังหารของ “สหายหนุ่ม” ที่ อยู่ข้างกายเลยแม้แต่น้อย
อวี๋เสวียนเก็บความคิดมา ถามว่า “ยังมีชั้นที่สามอีกไหม?”
“มี ขงจื๊อกล่าวว่าหนทางแห่งวิญญูชนมีสามประการ ผู้มีเมตตา ย่อมไม่กังวล ผู้มีปัญญาย่อมไม่หลงผิด และผู้กล้าหาญย่อมไม่ หวาดกลัว”
้
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “และยังมีหกศาสตร ์ที่ปรมาจารย์มหา ปราชญ์เป็ นผู้ถ่ายทอดรวมกันแล้วก็เป็ นเก้าพอดี ใช ้ในการปรับข่ม จิตแห่งมรรคา ให้ร่างจริงไม่ถึงกับธาตุไฟเข้าแทรก”
ภาพแต่ละภาพยิ่งเปิดเผยความลับสวรรค์มากกว่าเดิม
นักพรตอู๋ตีตั้งแผงดูดวง หลักๆ แล้วคือศึกษาระเบียบพิธีการของ ลัทธิเต๋าจากภูเขามังกรพยัคฆ์ เสริมด้วยการศึกษาระเบียบพิธีการ ของวัดไท่ฉางและฝ่ ายบวงสรวงของลัทธิขงจื๊อ นี่จึงเป็ น “พิธีการ” หนึ่งในหกศาสตร ์แห่งวิญญูชน
จือเค่อเฉินจิ้ว ทุกครั้งที่ตกปลาก็จะต้องเริ่มทดลองใช ้การ ค านวณด้วยใจวางแผน ใช ้ศาสตร ์แห่งการคานวณเป็ นพื้นฐาน ศึกษารากฐานความรู ้ของส านักการค้าและส านักกสิกรรมอย่างลึกซึ้ง นี่ก็คือ “การคานวณ” ของหกศาสตร ์
วิญญูชนบนขื่อคานที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บหนังสือของสานัก เลขานุการได้พกตารา “ตัวอักษร” โบราณที่ยืมมาจากศาลปุ่นติดตัว ไปอ่านด้วยหลายเล่ม เพื่อเอาไว้ช่วยในการอธิบายค าศัพท์โบราณ ของกลุ่มคัมภีร ์และอักษรบนหลักศิลาโดยเฉพาะ ก็คือ “การเขียน
ปัญญาชนวัยกลางคนที่อยู่ในวัดของอวี่โจว ทุกวันฟังเสียงระฆัง ยามเช ้าและกลองยามเย็น ฟังเสียงสวดมนต์เสียงเคาะปลาไม้ ยามที่ คัดต าราปลายพู่กันแหลมวาดลงบนกระดาษเซวียนจื่อเนื้อหยาบ กลางดึกที่ผู้คนเข้านอนกันเงียบสงัดรับฟังเสียงน้าพุไหลเข้าสู่วัด เมฆ
้
ลอยขึ้นลมพัดไหว คลื่นเสียงจากต้นสนดุจเสียงจากสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ได้ศึกษา “บทเพลงประตูเมฆา” และ “สระเสียนฉือ” ขอแค่ยินดีเงี่ยหูตั้งใจฟัง แห่งหนใดในโลกมนุษย์ไยจะไม่ใช่ห้าเสียง แห่งดนตรีเล่า? นี่จึงกลายมาเป็ น “ดนตรี” หนึ่งในหกศาสตร ์
บุรุษเคราดกเรือนกายก าย ามองดูคล้ายผู้ฝึกยุทธ แต่แท้จริงแล้ว กลับเป็ นเซียนดินนอกจากพกดาบแล้วยังสะพายธนู เพียงแต่ว่า ‘ลูก ธนูพุ่งชัดติดกันเป็ นสาย ดุจลูกปัดไข่มุกเรียงร ้อย” กลับไม่ใช่ธนู แท้จริงที่สะพายอยู่เบื้องหลัง แต่กลับเป็ นลมหายใจที่ทอดยาวของ อริยะยุคโบราณ นี่ต่างหากจึงจะเป็ นการผสานมรรคกถากับ “การยิง ธนู” อย่างแท้จริง
ในพื้นที่มงคลรากบัว อยู่สูงบนจวนสวรรค์หลุบตาลงมองพื้นดิน ในฐานะเจ้าของพื้นที่มงคลในนาม การจัดการกับโลกมนุษย์ บุกเบิก เส้นทาง ระดมก าลังพลอย่างมีเหตุผลชอบธรรม ถือเป็ น “การขับรถ ม้า
อวี๋เสวียนส่ายหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ
แต่เป็ นเพราะ….เจินเหรินผู้เฒ่าไม่รู ้แล้วว่าควรจะพูดอย่างไรดี
หากมีความคิดบางอย่างที่จินตนาการเลิศล้าบรรเจิดอย่างแท้จริง ทาให้คนอื่นรู ้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ แต่ขอแค่ไม่อาจปฏิบัติได้จริง ไม่อาจ ลงมือทาได้ นั่นก็ยังเป็ นแค่หอเรือนกลางอากาศ เป็ นแค่ชั้นวาง ดอกไม้ที่แค่น่ามองเท่านั้น
้
้
อวี๋เสวียนกล่าวด้วยอารมณ์ที่ซับซ ้อนว่า “หรือว่ายังมีชั้นที่ห้า อีก?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มี ขอแค่สร ้างพันโลกธาตุขนาดเล็กแห่ง แรกได้ ข้าก็สามารถหมุนเวียนตอบโต้กับตัวข้าเองได้ ตัวเองถาม หมัดกับตัวเองโดยที่ไม่รู ้ตัว มีหวังจะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดของ
วิถีวรยุทธ”
อวี๋เสวียนถาม “มีขั้นที่หกหรือไม่?” เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสมองข้าสูงเกินไปแล้ว” อวี๋เสวียนหัวเราะร่วน “ข้าจะไม่มองสหายสูงได้หรือ?” ก็ข้าผู้อาวุโสต้องเงยหน้ามองเจ้ามาพักใหญ่แล้วนี่นา
เฉินผิงอันรีบเอ่ยขออภัยแล้วกลับลงมานั่งบนราวรั้วอีกครั้ง
อวี๋เสวียนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดพึมพ ากับตัวเองว่า “จ าต้อง พูดว่า ที่แท้การฝึกบาเพ็ญตนก็ควรเป็ นเช่นนี้ หากผู้ที่ฝึกบาเพ็ญตน เป็ นเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเจินเหริน”
เฉินผิงอันท าท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป กว่าจะเอ่ยออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย “อย่างผู้เยาว์นั้นถือว่าเป็ นการทาพิธีกรรมในเปลือก หอย เป็ นความจ าใจ ผู้อาวุโสกลับไม่เหมือนกันไม่จ าเป็ นต้องท า เช่นนี้”
อวี๋เสวียนยิ้มเอ่ย “อยู่ดีๆ มาด่ากันทาไม”
้
ด่าว่าข้าฝึกตนราบรื่นตลอดเส้นทาง ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเรื่อง เงินทองหรือ?
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปยังทิศไกล สองมือวางลงบนหัวเข่า เบาๆ ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ “บอกตามตรงนะ ผู้เยาว์ก็อยากถูกคน อื่นด่าแบบนี้เหมือนกัน”
ที่บ้านยากจนมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ตายทั้งคู่ ความหิวโหยหนาว เหน็บบีบคั้น ชอบเรียนหนังสือแต่กลับไม่เคยได้เข้าเรียน บังเอิญได้ ฝึกฝนการเดินขึ้นเขา เคยเป็ นลูกศิษย์ในเตาเผามานานหลายปี อายุ สิบสี่ฝึ กวิชาหมัด อายุสิบห้าฝึ กเวทกระบี่ พลัดที่นาคาที่อยู่ ฟ้ าสูง แผ่นดินกว้างใหญ่ พบเจอสิ่งประหลาดมามากมาย ออกเดินทางไกล อยู่ข้างนอก ปฏิบัติต่อคนอื่นในยุทธภพอย่างจริงใจ วันเวลาที่เป็ นนัก เดินทางมีค่อนข้างมาก ชีวิตนี้ดื่มเหล้ายากที่จะเมามาย วันที่หวน กลับบ้านเกิดได้แต่ทอดถอนใจที่เวทกระบี่ยังไม่ชานาญ วิชาหมัดยัง ไม่ประสบความส าเร็จ
แม่นางน้อยชุดดาวิ่งตะบึงมาถึงบนยอดเขา อวี๋เสวียนก็ได้ถอน ค่ายกลยันต์ออกอย่างเงียบเชียบแล้ว หมี่ลี่น้อยเห็นว่าเจ้าขุนเขาคนดี คล้ายจะก าลังคุยธุระอยู่กับเทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นก็พลันหยุดชะงัก คิดว่าจะย้อนกลับไปทางเดิม
เฉินผิงอันยิ้มกวักมือเรียก “มีเรื่องอะไรหรือ?”
้
หมี่ลี่น้อยวิ่งเหยาะๆ ไปหาเจ้าขุนเขาคนดี ก่อนจะหยุดยืนนิ่งยึด เอวตรง กอดไม้เท้าไผ่เขียวไว้ในอ้อมอก เกาแก้ม “ไฟไหม้ลามขนคิ้ว เลยล่ะ ไม่รู ้ว่าจึงชิงเป็ นอะไร บอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ตรอกฉีหลงของ เมืองเล็กสักสี่ห้าวัน ข้าถามเขาตั้งหลายรอบ แต่เขาก็ไม่ยอมบอก สาเหตุ”
เฉินผิงอันกลั้นขา ตีหน้านิ่งเอ่ยว่า “เป็ นเรื่องเร่งด่วนอย่างมาก มิ อาจรั้งรอได้อีก รีบไปรีบกลับ ไปสืบข่าวต่อแล้วค่อยมารายงานใหม่”
หมี่ลี่น้อยกระทืบเท้า หัวคิ้วสีเหลืองอ่อนจางสองข้างขมวดเข้าหา กัน พยักหน้ารับแรงๆ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “รับคาสั่ง!”
หมุนตัวกลับได้ก็ชักเท้าวิ่งตะบึงย้อนกลับไปทางเดิม แบกคาน หาบสีทอง ในมือถือไม้เท้าเดินป่า วิ่งสับขาว่องไวราวกับล้อรถหมุน
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้ม ภูเขาลั่วพั่วมีขนบธรรมเนียมประจ า ตระกูลที่ดีจริงๆ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!