ท่ามกลางบรรยากาศวิเวกวังเวงที่ม่านฝนชัดกระหน่าลงบน เส้นทาง มืดมิดจนยื่นนิ้วทั้งห้าออกไปก็ยังมองไม่เห็นนี้ กลับมีลูกค้า สองคนแวะมาที่ร ้าน คนหนึ่งคือบุรุษร่างสูงใหญ่คิ้วหนาตาโต อีกคน หนึ่งคือคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยน พวกเขา ต่างก็สวมเสื้อกันฝนเดินทางฝ่ าสายฝนกันมา พอมาถึงใต้ชายคา ของร ้านเหล้าต่างก็พากันปลดงอบไม้ไผ่บนศีรษะลง เมื่อครู่นี้ซ่งจี๋ เหลือบมองไปบนถนนนอกร ้านก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ทั้งหน้าตาและ บุคลิกท่าทางล้วนเป็ นดั่งคุณชายผู้งดงามดุจเจ๋อเชียน ในมือได้จูงม้า สีขาวที่ลักษณะยอดเยี่ยมตัวหนึ่งมาด้วย สี่เท้าของม้าย่าอยู่ท่ามกลาง พายุฝน
ซ่งจี๋ชี้ไปที่ป้ ายไม้หน้าประตู เอ่ยขออภัยว่า “ลูกค้าทั้งสองท่าน ต้องขอโทษด้วย ร ้านปิดแล้ว โปรดอภัยที่ไม่อาจต้อนรับได้”
ชายร่างสูงใหญ่เดินก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาก่อน คลี่ยิ้มสดใส เอ่ยว่า “แค่หาสถานที่หลบฝนเท่านั้น พวกเราพกเหล้ากันมาเอง แล้ว ก็จะถือโอกาสรอคนอยู่ที่นี่ด้วย หากไม่ให้เข้ามาในร ้าน พวกเราก็จะ ถอยออกไปรออยู่นอกประตู”
คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพยื่นมือไปปลดป้ ายไม้ที่ หน้าประตูร ้านแล้วโยนลงบนโต๊ะคิดเงินอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ในเมื่อเปิ ดประตูทาการค้า ไหนเลยจะมีเหตุผลที่มีเงินมากอง ตรงหน้าแล้วไม่ยอมคว้ามา”
ซ่งจี๋ลังเลไม่แน่ใจ นางมองออกว่าสองคนนี้ล้วนไม่ใช่คนที่รับมือ ได้ง่าย
จะดีจะชั่วนางก็เป็ นถึงเทพภูเขาในท้องถิ่น อีกทั้งร ้านยังเปิดอยู่ ใกล้กับภูเขาเจ๋อเยา เมื่อนางมองขอบเขตสูงต่าของคนบางคนไม่ ออก ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็ นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ต้องเป็ นผู้ ฝึกบาเพ็ญตนที่ประสบความสาเร็จอย่างแน่นอน
ชายร่างสูงใหญ่ผงกปลายคางไปทางโต๊ะคิดเงิน คนหนุ่มสวมชุด ลัทธิขงจื๊อก็เดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลัง หยิบเหล้าที่อยู่บนชั้นวางมาสอง ไห
ซ่งจี๋ได้เปิดโลกกว้างแล้ว นี่ก็คือคาที่บอกว่าพวกเจ้าพกเหล้ากัน มาเองอย่างนั้นหรือ?
หลังจากนั้นหญิงสาวเรือนกายบอบบางคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใน ร ้านตามมาติดๆ บนศีรษะของนางปักปิ่นไม้ลายเมฆชิ้นหนึ่ง สวมชุด กระโปรงผ้าฝ้ าย สวมรองเท้าปักลายบุปผา
นางเดินฝ่ ามาท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่า ทว่ารองเท้าปักลาย สองข้างบนเท้ากลับไม่เปื้อนฝุ่นสักเม็ด
นางยิ้มเอ่ยแนะนาตัวเองกับเหนียงเนียงเทพภูเขาว่า “ข้าชื่อกู้ห ลิงเยี่ยน คือสาวใช ้ข้างห้องของคุณชายบ้านข้า”
กู้หลิงเยี่ยนเปลี่ยนจากแขกมาเป็ นเจ้าบ้าน ไปยกกระถางไฟใบ หนึ่งจากเรือนด้านหลังมา จากนั้นหิ้วถุงถ่านไม้ใบใหญ่มาวางไว้ข้าง เท้า เทถ่านพรวดลงไปในกระถาง ก้มหน้าเป่าลมทีเดียว ถ่านไม้ก็ติด ไฟขึ้นมาเอง
นางหยิบที่คีบเหล็กออกมาเขี่ยขี้เถ้าที่อยู่ในกระถางมาวางกลบ บนเปลวไฟด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย โน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นมือ ไปอังไฟ สะบัดมือที่ขาวนวลราวหิมะคู่นั้นเบาๆ เงยหน้ายิ้มถามว่า “เถ้าแก่เหนียงเนียง ในร ้านมีเผือกหรือบ๊ะจ่างบ้างหรือไม่? ข้าอยาก อังไฟอยู่ตรงนี้พลางตัดกระดาษหน้าต่างหรือไม่ก็เย็บพื้นรองเท้าไป ด้วย”
ซ่งจี๋ส่ายหน้า ในใจคิดว่านี่ก็คือคนที่พวกเขาต้องการรอพบ อย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ก็ได้เจอนางแล้ว ต่อจากนี้จะทาอะไรต่อกันล่ะ?
กู้หลิงเยี่ยนหันหน้าไปมองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ อย่างโดดเดี่ยวเพียงลาพัง พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “เหนียงเนียง เจ้าสะโพกใหญ่จริงๆ แต่เอวกลับบางยิ่งนัก นั่งอยู่บนม้า นั่งตัวยาว ก้นก็ยิ่งอวบอิ่มมากกว่าเดิม หากลุกขึ้นมาตอนกลางคืน นั่งลงบนโถส้วมล่ะก็ จุ๊ๆ”
ซ่งจี๋อับอายจนพานเป็ นความโกรธ แต่เพียงแค่เพราะยังไม่รู ้ สถานะและภูมิหลังของพวกเขาจึงฝืนข่มสีหน้าไม่สบอารมณ์เอาไว้ นางคลี่ยิ้มหวาน แสร ้งทาเป็ นไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่พูดตอบโต้
หลิวเสี้ยนหยางสาลักเหล้าทันทีที่ได้ยิน ต้องรีบเอ่ยขออภัย “ขอ โทษที ขอโทษที ข้าคนนี้หน้าบาง ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ทนฟัง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้”
กู้ช่านมีสีหน้าปกติเป็ นธรรมชาติ
กู้หลิงเยี่ยนเรียกขานคาแล้วคาเล่าว่าเหนียงเนียง “ภูเขาเจ๋อเอ่อ เปลี่ยนชื่อเป็ นภูเขาเจ๋อเยา เปลี่ยนได้น่าฟังมากจริงๆ ทาให้จากที่ฟัง ดูไร ้รสนิยมกลายมาเป็ นสง่างามได้ แต่ข้าได้ยินมาว่าภูเขาเจ๋อเยาอยู่ ในการดูแลของภูเขาลู่เจี่ยวหนึ่งในภูเขาทายาทของมหาบรรพต ประจิม เทพภูเขาฉางที่ตาแหน่งเทพสูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก แล้วคนนั้น ดูเหมือนว่าจะเสียหมวกขุนนางไปแล้วนะ? นี่เป็ นเรื่องที่ เพิ่งเกิดไม่กี่วันมานี้เอง เหนียงเนียงเจ้ารู ้เรื่องวงในหรือไม่ ไม่สู้เล่าให้ ฟังหน่อย ถือเสียว่าเป็ นกับแกล้มแกล้มสุราให้คุณชายข้า นี่ก็จะถือ ว่าเจ้ารับรองแขกได้ดีมากแล้ว”
ซ่งจี๋สีหน้าเขียวคล้า เอ่ยเสียงจริงจังว่า “แม่นางกู้ ข้าไม่สนใจว่า เจ้าจะมาจากส านักไหน มีขอบเขตอะไร แต่อยู่ในอาณาเขตของมหา บรรพตประจิมแห่งนี้ ขอให้เจ้าระวังคาพูดหน่อย ระวังว่าภัยจะออกมา จากปาก”
ตามการแบ่งทาเนียบภูเขาสายน้าของศาลบุ๋น ฉางเฟิ่งฮั่นแห่ง ภูเขาลู่เจี่ยวภูเขาทายาทของมหาบรรพตประจิม มีตาแหน่งเทพขั้น สามชั้นโท
ตามหลักแล้วหากคิดจะถอดถอนตาแหน่งขุนนางของเทพชั้นสูง ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการก็ต้องผ่านมติการประชุมของ ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและราชส านักต้าหลีเสียก่อน ต่อให้ถงเหวินช่าง จะเป็ นหัวหน้าของฉางเฟิ่งฮั่น ก็ไม่มีอานาจพอที่จะจัดการเทพภูเขา ตาแหน่งสูงเช่นนี้ได้เองโดยพลการ เป็ นเหตุให้การกระทานี้ของถงเห วินช่างที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็ นต้าเต้าเสินจวินถือว่าไม่ได้ทาตาม กฎระเบียบเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นไม่เพียงแต่ฉางเฟิ่ งฮั่นที่ส่งคาร ้องฟ้ องร ้องไปยังศาลบุ๋น แผ่นดินกลางแล้ว ว่ากันว่าสิบสองกองของภูเขาลู่เจี่ยว ขุนนางหลัก ส่วนใหญ่ก็ได้ร่วมมือกันยื่นส่งฎีกาฉบับหนึ่งไปยังราชส านักต้าหลี แล้วด้วย
จะสามารถรักษาตาแหน่งเทพเดิมไว้ได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ ยาก เพราะถึงอย่างไรถงเหวินช่างก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็ นเสินจวิน ศาลบุ๋นและสกุลซึ่งต้าหลีต่างก็ต้องพิจารณาในเรื่องนี้ แต่โดยทั่วไป แล้วความเป็ นไปได้ที่มากกว่านั้นก็คือการพบกันครึ่งทาง ภูเขาลู่ เจี่ยวได้รับค าตักเตือนจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและกรมพิธีการต้า หลี จากนั้นก็ลดระดับขั้นของฉางเฟิ่งฮั่นลงสองสามขั้น แต่ก็ไม่อาจ ตัดความเป็ นไปได้อย่างหนึ่งทิ้งไป นั่นคือถงเหวินช่างล้มหัวทิ่ม ฉาง เฟิ่งฮั่นกับภูเขาลู่เจี่ยวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กลับเป็ นถงเหวินช่าง เองที่บารมีอานาจดิ่งลงสู่กันเหว
ไม่ว่าจะเป็ นสถานการณ์แบบใด ก่อนหน้าที่ศาลบุ๋นยังไม่ได้ให้ ข้อสรุปสุดท้าย ซ่งจี๋ก็ไม่เชื่อจริงๆ ว่าในแจกันสมบัติทวีปจะมีผู้ฝึ ก ลมปราณสักกี่คนที่มีคุณสมบัติพูดจาเหน็บแนมเทพภูเขาฉางใน อาณาเขตของภูเขาลู่เจี่ยวได้
กู้หลิงเยี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “ไยต้องดิ้นรนก่อนตายด้วยเล่า เป็ น สถานการณ์ที่ต้นไม้ล้มลิงค่างก็แตกฮือแน่แล้ว ฟ้ องร ้อง ฟ้ องร ้องใคร ล่ะ ฟ้ องร ้องถงเสินจวินหรือฟ้ องร ้องเจ้าขุนเขาเฉิน? ขออย่าให้ กระดาษฟ้ องร ้องถูกส่งตรงไปถึงมือเจ้าขุนเขาเฉินเลยนะ ฮ่า น่าสนใจ น่าสนใจ ก็เหมือนบางฉากบางตอนที่เขียนไว้ในตารา ตบไม้ปลุกสติ ตวาดก้องในศาลว่าใครกันที่บังอาจมาฟ้ องร ้องข้าผู้เป็ นขุนนาง?”
กู้ช่านกล่าว “พอได้แล้ว เป็ นคนใบ้ของเจ้าต่อไป”
กู้หลิงเยี่ยนเหลือบมองสีหน้าของกู้ช่านอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้ โกรธ ในดวงตายังมีรอยยิ้มให้เห็น
หลิวเสี้ยนหยางเริ่มใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ทาไมถึงต้องเรียกเผย เฉียนมาด้วยล่ะ”
“นางคือผู้เยาว์ของเฉินผิงอัน” “นี่คือเหตุผลอะไร” “ความกังวลของพวกเราสองคนไม่เหมือนกัน” “หมายความว่าไง?”
“ เ จ้ากังวลว่าเขาจะเจอกับเรื่องไม่คาดคิด แต่ข้ากลับไม่กังวลใน เรื่องนี้เลยสักนิด ข้าแค่กังวลว่าเขาจะยั้งมือไม่อยู่ แล้วถูกคนจับ จุดอ่อนเอาไว้ได้ หมาบ้ามักจะกัดคนมั่วซั่วเสมอ” “เฉินผิงอันทาเรื่องต่างๆ มีอะไรให้ไม่วางใจบ้างเล่า” “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
“กลัวอะไร ล่าเสือให้พี่น้องทา ลงสมรภูมิให้ใช ้พ่อลูก เฉินผิงอัน ก็ยังมีพวกเราไม่ใช่หรือ?” กู้ช่านเงียบไปพักใหญ่ “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้ารู ้หรือไม่ว่าข้าอิจฉา เจ้าในเรื่องไหนมากที่สุด?” หลิวเสี้ยนหยางดวงตาเป็ นประกาย “ไหนลองว่ามาสิ ข้าคนนี้มี ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือไม่รู ้ว่าข้อดีของตัวเองคืออะไร” กู้ช่านกล่าว “อยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ต้องใช ้สมองเลยแม้แต่น้อย ใช ้ แค่ลางสังหรณ์อย่างเดียวเท่านั้น” หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ “จะบอกเจ้าเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน อย่าเอาไป เล่าให้ใครฟัง ช่างหร่วนเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว” “มองออกแล้ว” หลิวเสี้ยนหยางถามอย่างสงสัย “ดวงตาข้างไหนที่มองออก?”
กู้ช่านหัวเราะหยัน “ข้าไม่เหมือนกับคนบางที่ดีแต่ฝึกกระบี่ ยัง พอจะเรียนรู ้ศาสตร ์การมองลมปราณและการอนุมานมาอย่างผิวเผิน ด้วย”
“คุณสมบัติดี พรสวรรค์สูง จิตใจจดจ่อไม่วอกแวก ไม่จ าเป็ นต้อง เรียนรู้วิชานอกรีตมากมายพวกนั้นเลยด้วยซ้า แบบนี้ข้าก็ผิดด้วย หรือ?”
หญิงสาวชุดดาที่มัดผมทรงกลมกลางศีรษะเดินฝี เท้าแผ่วเบา ข้ามธรณีประตูเข้ามาในมือของนางถือไม้เท้าเดินป่ าไผ่เขียว
กู้หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองไปทางหน้าประตูแล้วร ้องโอ้โห ตัวเอก มาแล้ว
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะหลิวเสี้ยนหยางและกู้ชาน หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางโบกมือ “นั่งลงดื่มเหล้า” กู้ช่านผงกศีรษะทักทาย หัวใจของซ่งจี๋บีบรัดตัว นางจ าอีกฝ่ ายได้ เผยเฉียนหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ที่แจกันสมบัติทวีปประเมิน ออกมา! คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว! เผยเฉียนกุมมือคารวะไปทางซ่งจี๋ “คารวะเทพภูเขาซ่ง”
ซ่งจี๋รีบลุกขึ้นยืน ยอบกายคารวะ “ทุกวันนี้เทพน้อยใช ้นามว่าซ่ง จี๋ เป็ นเพียงเทพภูเขาของเจ๋อเยา”
เผยเฉียนหยิบใบไม้สีทองแผ่นหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “ขอซื้อ เหล้าหมักตลาดสี่มุมจากเหนียงเนียงเทพภูเขาหน่อย”
ซ่งจี๋มีสีหน้าตระหนกลน “ไม่ต้องซื้อเหล้า วันนี้เทพน้อยสามารถ เลี้ยงเหล้ามวยผมที่ภูเขาเจ๋อเยาหมักเองให้ปรมาจารย์เผยดื่มได้ก็ถือ เป็ นเกียรติและความโชคดีของเทพน้อยแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็ไม่เกรงใจแล้ว ขอบคุณ มาก”
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปากรัวๆ ถ่านดาน้อยในปีนั้นเปลี่ยนมาเป็ นรู ้ ความขนาดนี้แล้วหรือ
กู้ช่านยิ้มอย่างเข้าใจ ถ่านดาน้อยในปีนั้นเปลี่ยนมาเป็ นรู ้ความ ขนาดนี้แล้วหรือ
เผยเฉียนรับเหล้าหมักเซียนมาสองสามกา วางลงบนโต๊ะ
เงินคือเด็กรับใช ้ของซ่างชิง สุราคือตะขอเกี่ยวบทกวี คือไม้กวาด ที่ปัดกวาดความหม่นเศร ้า
ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก จ่ายเงินดื่มเหล้าได้โดยไม่ต้องถาม ราคา ก็คือการท่องไปในยุทธภพ
กู้หลิงเยี่ยนยิ้มจนตาหยี หัวเราะคิกคัก “แม่นางเผย จากลากันที่ ท่าเรือ คิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนจะได้พบหน้ากันเร็วขนาดนี้ มี วาสนาต่อกันจริงๆ นะ”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “หากพวกเราพบเจอกันบนสนามรบของเมือง หลวงส ารองแจกันสมบัติทวีปก็จะยิ่งมีวาสนาต่อกันมากกว่านี้เสียอีก”
ในลานบ้าน เจ้าประมุขหม่าเหยียนเริ่มก่นด่าอย่างปวดร ้าวว่า เฉินผิงอันฆ่าคนบริสุทธิ์พร่าเพื่อ ผิดต่อสถานะของลูกศิษย์อริยะ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วอย่างไร จะทาอะไรข้าได้? วันนี้คดี สะเทือนขวัญฆ่าล้างตระกูลสกุลหม่าอ าเภอหย่งเจีย ฟ้ าไม่รู ้ดินไม่ เห็น”
หม่าเหยียนตวาดกร ้าวเสียงสูง “เฉินผิงอัน เจ้ามันเสียสติไปแล้ว จริงๆ!”
ฉินเจิงยึดเอวขึ้นตรงช ้าๆ ถึงกับใช ้เสียงในใจพูดคุยว่า “ไอ้ลูก หมาพันธ ์ผสมจากตรอกหนีผิง เจ้ารู ้หรือไม่ว่า อาศัยบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายนี้ที่ฉายออกไป เพียงไม่นานคนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป ก็จะรู ้ถึงการกระทาของเจ้าในวันนี้แล้ว?!”
สีหน้าตื่นตระหนกของเฉินผิงอันที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ กลับไม่ มีปรากฏให้เห็น
นี่ทาให้สตรีออกเรือนแล้วรู ้สึกกระวนกระวายใจ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยังคงทั้งโง่และทั้งชั่วช ้าอยู่เหมือนเดิม เอาแต่ วางแผนจะเล่นงานข้าไม่ลองคิดดูให้ดีๆ บ้างเล่าว่าค าพูดประโยคแรก หลังจากที่ข้าได้พบเจอพวกเจ้า ไฉนถึงเป็ นวิธีการตายสี่สิบประเภทที่
เตรียมไว้ให้พวกเจ้า? วิธีการตายอะไรถึงสามารถทาให้คนคนหนึ่ง ตายได้มากมายขนาดนั้น?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อยากให้ข้าช่วยพูดโต้ตอบกับพวกเจ้าอีก สักสองสามประโยคไหม? ท านองว่าในสายตาของข้าเฉินผิงอัน พวก เจ้าก็คือมดตัวน้อยที่ชีวิตด้อยค่ายิ่งกว่าต้นหญ้า จะเหยียบพวกเจ้าให้ ตายก็ยังรังเกียจว่าจะท าให้รองเท้าสกปรก? หรือยกตัวอย่างเช่นว่า ข้าจะต้องแร่เนื้อเถือหนังเจ้าฉินเจิงออกเป็ นพันเป็ นหมื่นชิ้น ต่อให้ เปิดเผยข้อมูลอีกเล็กน้อย ด้วยฐานะและตัวตนของข้าในทุกวันนี้จะมี ใครกล้ามาร้องทุกข์แทนพวกเจ้า?”
เฉินผิงอันชี้ไปยังกาไลสีเขียวมรกตบนข้อมือของสตรีออกเรือน แล้ว ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อมันคือจุดศูนย์กลางของกลไกบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้าครั้งนี้ เจ้าลองตรวจสอบดูให้ดีอีกครั้งเถิดว่าด้านใน ยังหลงเหลือปราณวิญญาณอยู่อีกหรือไม่?”
ฉินเจิงยื่นมือไปลูบกาไลข้อมืออย่างรวดเร็ว นิ้วมือของนาง เหมือนสัมผัสกับก้อนน้าแข็ง นี่ทาให้สตรีหน้าเผือดสีโดยพลัน
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ศพที่ถูกตัดเอวขาดเป็ น สองท่อนที่กองเกลื่อนบนพื้น เลือดสดเหมือนกระแสน้าลงที่พากัน ไหลเข้าไปในศพช ้าๆ ร่างที่ถูกฟันขาดออกเป็ นสองส่วนก็เริ่มค่อยๆ พากัน ‘ถอยกลับ” ไปยังกลางอากาศ กริชและกระบี่ยาวที่หล่นลงพื้น ก็ถูกศพเก็บกลับไปไว้ในมืออีกครั้ง วิถีโคจรทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มี คลาดเคลื่อน สุดท้ายศพประกบเข้าด้วยกันแล้วย้อนกลับไปต าแหน่ง
เดิมของใครของมัน กลายมาเป็ นเหล่าสาวใช ้ชุดเขียวที่กลับคืนมามี ชีวิตยืนอยู่ที่เดิม
เหตุเปลี่ยนแปลงที่เลือดสดนองพื้นครั้งนี้คล้ายกับงิ้วยอดแย่ที่ นักแสดงเป็ นเพียงมือสมัครเล่น หรือไม่ก็เหมือนการอ่านหนังสือสอง หน้า เปิดผ่านหน้าหนึ่งไปแล้วก็เปิดกลับมาที่หน้าเดิม ตัวอักษรจะ คลาดเคลื่อนได้หรือ? มีเพียงความรู ้สึกจากการอ่านตัวอักษรที่อยู่บน สองหน้ากระดาษเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ สาหรับสาวใช ้ชุด เขียวกลุ่มนั้นแล้ว ความรู ้สึกเจ็บปวดตอนที่โดนฟันเอวขาด และยังมี ความหวาดผวาก่อนจะตายนั้น คล้ายกับยังวนเวียนอยู่ที่ห้องหัวใจ ของพวกนางไม่หายไปไหน
เสียงสตรีกรีดร ้องพลันดังขึ้นมา ที่แท้ข้อมือที่สวมกาไลสีเขียว มรกตของฉินเจิงก็ถูกปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งตัดร่วงลงสู่พื้น
เฉินผิงอันมายังข้างกายของหม่าเหยียน ยื่นมือไปบีบคอของฝ่ าย หลังแล้วลากกระชากไปไว้ข้างกายฉินเจิงที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บน พื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะยกร่างของหม่าเหยียนเหวี่ยงลงกับพื้น เฉินผิงอันยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบเข้าที่หัวของหม่าเหยียน บีบให้อีก ฝ่ ายถลึงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมองไปยังมือข้างที่ขาดนั้น เฉินผิงอันบิดขยี้ปลายรองเท้าเบาๆ ซีกหน้าด้านหนึ่งของหม่าเหยียน ก็เปรอะโชกไปด้วยเลือด กระดูกขาวโผล่ออกมาให้เห็น

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!