อวี๋ชิ่งถามอย่างใคร่รู ้ “นักพรตหนุ่มที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดของ เส้นทางภูเขาเป็ นใคร? คือจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกล ของเฉินผิงอันหรือว่าเป็ นจิตหยางกายนอกกาย? ท าไมถึงมีสภาพ เป็ นเช่นนั้น? มีข้อพิถีพิถันหรือไม่?”
เซียวสิงพลันคลี่ยิ้มราวกับว่ารู ้สึกสาแก่ใจที่ได้แก้แค้น เพียงแต่ ว่านี่กลับทาให้ใบหน้าที่งามประณีติของนางบิดเบี้ยวผิดรูป “ไม่ใช่ทั้ง คู่ ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางมีจิตหยินจิตหยางได้อีกแล้ว มีฐานะเป็ นลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะ แต่กลับถูกลิขิตมาแล้วว่าจะมิอาจหล่อเลี้ยง ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตได้แม้แต่ครึ่งคา น่าสงสาร น่าสงสารอย่างถึง ที่สุด ส่วน….บุคคลที่มีรูปโฉมเป็ นนักพรตคนนั้น คือ…คุณชายเหริน”
อวี๋ชิ่งจงใจมองข้ามเรื่องวงในที่มิอาจแน่ใจได้ว่าเป็ นจริงหรือเท็จ พวกนั้นไป เพียงแต่ว่าประโยคสุดท้ายกลับท าให้นางมึนงงไม่เข้าใจ “อะไรนะ?”
เซียวสิงเอียงหัว ยิ้มถามว่า “แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานของเปลี่ยว ร ้างอย่างข้าก็ยังรู ้ว่าไพศาลมีบทกวีที่กล่าวว่า “ใครเล่าจะเหมือน คุณชายเหรินที่ขี่ลามรกตท่ามกลางหมู่เมฆ” เป็ นวลีติดปากผู้คน เจ้า เป็ นเซียนดินของไพศาลกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ?”
สุดปลายสายตาที่มองไม่เห็น ไม่รู ้ว่าห่างไปไกลกี่ร ้อยกี่พันลี้ เมฆ ขาวดุจมหาสมุทรแต่กระนั้นก็ยังคงมองเห็นนักพรตหนุ่มที่สวมกวาน ดอกบัวบนศีรษะ ไม่สวมรองเท้า เปลือยเท้านั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังลา ขนสีเขียว ในมือถือลาไม้ไผ่ที่ร ้อยเส้นเอ็นตกปลาสีทองผู้นั้นได้อย่าง ชัดเจน เขาขว้างคันเบ็ดออกไปไกลๆ เส้นเอ็นเปล่งแสงสีทองวาบอยู่ ในจุดสูง ตะขอเกี่ยวปลาก็หล่นลงไปในลาคลองยาวน้าใส พริบตานั้น ก็มีคลื่นลูกยักษ์ถาโถมขึ้นมาในน้าพลิกม้วนตลบเหมือนหิมะ สะเก็ด น้ากระเพื่อมซัดสาดมาพร ้อมกับเสียงอึงอลดุจเสียงฟ้ าค าราม
สัมผัสได้ถึงสายตาจากทางฝั่งนี้ นักพรตหนุ่มก็คลี่ยิ้มโบกมือให้ พวกนาง ยกนิ้วมาวางไว้บนปาก คงต้องการบอกเป็ นนัยแก่แม่นางทั้ง สองว่าอย่าเสียงดังทาให้ปลาที่กาลังจะงับเหยือของเขาตกใจหนีไป
เซียวสิงโพล่งถามขึ้นมาว่า “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่หรือ?”
อวี๋ชิ่งยิ้มเอ่ย “จะเป็ นไปได้อย่างไร ผู้ฝึกกระบี่หาได้ยากจะตาย ไป”
หากนางเป็ นผู้ฝึกกระบี่ที่ล้าค่าจริงๆ ก็คงไม่มาอยู่ในจวนหม่า
ผู้ฝึกกระบี่ไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนได้รับความนิยมไม่ใช่หรือ?
เซียวสิงมองสตรีเรือนกายอวบอิ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตาไม่กะพริบ ด้วยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา แล้วก็พึมพาว่า “อยู่ที่นี่ แค่เจ้าคิดก็ สามารถเป็ นได้นี่นา ในเมื่อพวกเราต่างก็เรียกขานกันเป็ นสหายแล้ว แล้วก็ต้องร่วมทุกข์กันจริงๆ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้นะ”
“เจ้าต้องการกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกี่เล่ม? ล้วนปรึกษากันได้”
“แต่ข้ารับผิดชอบแค่วางเค้าโครงคร่าวๆ สร ้างเป็ นดินปั้นดิบที่ หยาบมากๆ เท่านั้นหากอยากให้มีชีวิตจริงๆ ก็ยังต้องให้เขาที่เป็ นขุน นางผู้ตรวจสอบเนื้อหามาเป็ นคน….ยืนยันและตั้งชื่อ มอบความจริง แท้ที่ถูกต้องชอบธรรมให้ด้วยตัวเอง”
ระหว่างที่พูดข้างกายของเซียวสิงก็มี “อวี๋ชิ่ง” หุ่นปั้นดินเผาลงสี มีชีวิตชีวาเหมือนจริงเพิ่มมาคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าฝ่ ายหลังยังหลับตา ราวกับว่าขาดแค่การแต้มนัยน์ตามังกรเท่านั้น
อวี๋ชิ่งผู้นี้รูปโฉมงามพิลาส ท่วงท่าสุภาพเรียบร ้อย ดูดีกว่าตัวจริง อยู่หลายส่วน
เซียวสิงเดินวนรอบอวี๋ชิ่งที่เป็ นของเลียนแบบ ช่วยเพิ่มปิ่นปักผม และเครื่องประดับตกแต่งให้กับนางเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็จิ้มๆ ชี้ๆ ไป ตรงหน้าอกและสะโพก แล้วยังนวดคลึงเบาๆ อยู่อีกหลายที “เรือนร่าง ของสหายช่างดูแลได้ดีจริงๆ ข้างแก้มต้องปัดสีแดงไหม หรือรู ้สึกว่า ไม่ประทินโฉมดูดีกว่า? ตรงนี้ แล้วก็ยังมีตรงนี้ อยากให้ใหญ่กว่านี้ อวบอิ่มกว่านี้ หรือรู ้สึกมาโดยตลอดว่ามันเป็ นภาระ อยากจะให้ลด ขนาดลงหน่อย? ใช่แล้ว สหายอยากมีกระบี่บินกี่เล่ม แต่ละเล่มรูปร่าง และวิชาอภินิหารเป็ นอย่างไร คิดได้แล้วหรือยัง?”
นักวาดขนคิ้วบนภูเขาและสานักนักประพันธ ์ที่ได้ครอบครอง พื้นที่มงคลกระดาษขาวสองฝ่ ายนี้ทับซ ้อนเข้าด้วยกันก็จะมีความคิด บรรเจิดเลิศล้าและทัศนียภาพแปลกพิสดารได้มากมาย
อวี๋ชิ่งถาม “ฟ้ าดินแห่งนี้เป็ นเจ้าที่ค่อยๆ สร ้างรายละเอียดขึ้นมาที ละนิด ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร ้างมันขึ้นมาหรือ?”
เซียวสิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าหรือจะกล้าเอาความดีความชอบ เป็ นของตัวเอง สิ่งที่ข้าทาไม่ถึงหนึ่งในร ้อยด้วยซ้า”
“บอกตามตรงนะ ฟ้ าดินที่กว้างใหญ่ไร ้ที่สิ้นสุดที่เจ้าได้เห็น ในตอนนี้เป็ นแค่หนึ่งในม้วนภาพมายาสิบกว่าแห่งเท่านั้น ถูกเขาระบุ ไว้ว่าเป็ น…ศาลาพักหมายเลขหก และเท่าที่ข้ารู ้ก็มีฟ้ าดินเล็กอยู่ยี่สิบ กว่าแห่ง ทว่าสามารถยึดครองอัตราส่วนได้มากแค่ไหน เรื่องนี้ข้า กลับไม่รู ้แล้ว เขาไม่ได้มอบอานาจในการคลี่กางม้วนภาพแก่ข้าไป มากกว่านี้ ได้แค่มองอยู่ไกลๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ก็เหมือนกับ…แสง หิ่งห้อยกลุ่มใหญ่ที่อยู่ระหว่างพงหญ้าในค่าคืนฤดูร ้อน ส่องแสงเป็ น จุดๆ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง”
“แม้ว่าข้าเคียดแค้นจนอยากจะถลกหนังดึงเส้นเอ็น กินเนื้อดื่ม เลือดของเฉินผิงอันอยากจะหักกระดูกเขามาเคี้ยว แต่ก็จาต้อง ยอมรับว่า หากแยกความแค้นออกแล้ว ถ้าแค่พบเจอกันบนเส้นทาง ด้วยวิธีการเช่นนี้ของเขา ให้ข้าคุกเข่าโขกหัวรับเขาเป็ นบรรพบุรุษ ข้าก็ยินยอมพร ้อมใจอย่างมาก”
ฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋ชิ่งก็เอ่ยเยาะเย้ยว่า “สหายรู ้อะไรก็บอกหมด ทุกอย่างจริงๆ”
เซียวสิงยิ้มบางๆ “ในเมื่อเจ้าและข้าถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องอยู่ เฝ้ าที่นี่อีกยาวนาน ยังจะต้องปิดบังอะไรกันอีกเล่า?”
ภาพเหตุการณ์ต่อมากลับท าให้อวี๋ชิ่งรับมือไม่ทัน เห็นเพียงว่า เซียวสิงยิ้มหวาน จ้องนิ่งมายังสตรีโตเต็มวัยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วจู่ๆ เซียวสิงก็ถอดชุดทั้งหมดบนร่างออกจนเผยเรือนกายเปลือยเปล่า ขาวนวลดุจหิมะ นางยกขาขึ้นเกี่ยวเอว “อวี๋ชิ่ง” เอาไว้…อวี๋ชิ่งสีหน้า มืดคล้า หมุนตัวกลับเดินไปที่ภูเขาเขียวโดยตรง ตาไม่เห็นจะได้ไม่ รู ้สึกสกปรก ริมตลิงฝั่งตรงข้ามมีเสียงหอบแผ่วเบาดังมาเป็ นระลอก อวี๋ชิ่งด่าไปคาหนึ่งว่าคนสกปรกไร ้ยางอาย เซียวสิงกลับยังคงเคล้า คลอกับ “อวี๋ชิ่ง” ต่อไป สายตาของนางหวานหยาดเยิ้ม ครวญคราง เสียงสะอื้น นางมองแผ่นหลังของสตรีที่เดินจากไปไกล แต่มือกลับไม่ หยุดเคลื่อนไหว ถอดกระโปรงของ “อวี๋ชิ่ง” ออก กอบขุนเขาหนักอึ้ง ลูกหนึ่งบนหน้าอกขึ้นมา จากนั้นนางก็ใช ้สายตาเวทนาพึมพ ากับ ตัวเองว่า “พี่สาวคนดี เจ้าไม่รู ้อะไรเลย ไม่รู ้เลยสักนิดว่าอะไรคือจิต แห่งมรรคาที่แท้จริงในฟ้ าดินนี้ เขาไม่ได้มองเรื่องนี้เรียบง่ายอย่างการ มองพิจารณากระดูกขาวเท่านั้น พี่สาวคนดี ความสุขดุจปลาที่อยู่ใน น้า ความรื่นรมย์บนเตียง ข้ารู ้ว่าเจ้าคุ้นเคยดีไยต้องแสร ้งท าเป็ น เหนียมอายด้วยเล่า….ถือเสียว่าเป็ นการพิศมรรคาที่ปฏิบัติต่อกัน
อย่างจริงใจก็แล้วกัน เห็นหรือยัง ทะเลแห่งความปรารถนามีขึ้นมีลง ล้วนเป็ นการฝึกตนทั้งสิ้น”
อวี๋ชิ่งกวาดตามองไปรอบด้าน ตะโกนถามเสียงดัง “เฉินผิงอัน นี่ ก็คือฟ้ าดินในจิตใจของเจ้าอย่างนั้นหรือ? นี่ก็คือวิถีแห่งการรับรอง แขกของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
เซียวสิงเหมือนคนคลุ้มคลั่ง นางปลดปิ่นไข่มุกทิ้ง ปล่อยผมสยาย ผลัก อวี๋ชิ่ง” ผู้นั้นให้ล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วนางก็ทอดตัวทาบทับ จากนั้นเรือนกายขาวนวลดุจหิมะสองร่างก็พัวพันกันเหมือนงูที่เลื้อย พันกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เซียวสิงจะถึงกับ…เริ่มอ้าปากกัดกินเลือดเนื้อ ของฝ่ายหลังค าโต
อวี๋ชิ่งสีหน้าหม่นหมอง มือเท้าเยียบเย็น
เพราะนางสามารถมองเห็น ‘ร่างจริง” ของลาคลองยาวเส้นนั้นได้ ร าไร
คือเรือนกายของงูเขียวที่ร่างยาวมากตัวหนึ่ง “น้าในลาคลอง” แท้จริงแล้วก็คือเกล็ดงูจานวนนับไม่ถ้วนที่กระจุกรวมกัน เพียงแต่ เพราะถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนเกิดประกายระยิบระยับท าให้มองดู เหมือนน้าไหลริน
ความรักชายหญิง ทะเลแห่งปรารถนาเกิดคลื่นซัดสาดปั่นป่วน
นักพรตหนุ่มที่เซียวสิงเรียกขานว่า “คุณชายเหริน” เก็บคันเบ็ด ตกปลาแล้วโยนเข้าไปในกลุ่มเมฆขาว นักพรตหดย่อพื้นที่ก้าวเดียว
ก็มาถึงข้างกายของอวี๋ชิ่ง เขาเดินเคียงไหล่ไปกับนาง เอ่ยชื่นชมว่า “สหายอวี๋สายตาดียิ่งนัก สามารถมองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของลา คลองยาวได้เร็วขนาดนี้ สหายเซียวกลับขาดตบะและวิสัยทัศน์ใน ส่วนนี้ไป”
ด้านหน้านักพรตหนุ่มห้อยน้าเต้าเปลือกแดงร ้อยเชือกสีทองไว้ ลูกหนึ่ง ด้านหลังคอเสื้อมีกิ่งไม้ท้อกิ่งหนึ่งเสียบอยู่ เขายิ้มบางๆ เอ่ย ว่า “ผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่เข้ามาอยู่ในภูเขา ไม่จ าเป็ นต้องหลีกเลี่ยงการ พูดถึงกิเลสตัณหา”
“เดิมทีเทพเซียนก็มาจากมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่เพราะจิตใจ ของมนุษย์ไม่หนักแน่นมั่นคง มนุษย์มีความอยากทางปากและลิ้น ความงามและความอัปลักษณ์คืออุปสรรคกั้นขวาง ชื่อเสียงลาภยศ คือโซ่ตรวน ความรักในโลกีย์ก็คือกรงขัง เป็ นตายมืดสว่างก็คือด่าน อีกด่านหนึ่ง ขอแค่มีใจที่คิดเรื่องผลได้ผลเสีย แต่ละด่านก็จะ เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเหมือนภูเขหนักอึ้ง ต่อให้ผ่านภูเขาลูกหนึ่งไปได้ ก็ยังมีภูเขาอีกหมื่นลูกขวางกั้น”
“ล้วนพูดกันว่าญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ไม่ทราบ ว่าชื่อแช่จริงๆ ของสหายอวี๋คืออะไรหรือ”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดอวี๋ชิ่งก็เปิดปาก “สหายเดาผิดแล้ว ข้า ไม่ได้แซ่ลู่ แต่แซ่สอง พยางค์ว่ากงซุน”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!