เข้าสู่ระบบผ่าน

กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 1090

นักพรตยื่นมือไปคว้าดินที่พบเจอได้ทุกหนแห่งมาส่วนหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วหนึ่งไปทางอวี๋ชิ่งราวกับว่าคว้าจับเอาไข่มุกที่ส่อง ประกายแสงพร่างพราวเม็ดหนึ่งมาจากบนร่างของนางมองคล้ายดวง จันทร ์เล็กจิ๋วดวงหนึ่งที่หมุนอย่างเชื่องช ้า “เจ้ามีไข่มุกอยู่หนึ่งเม็ด ข้า มีดินอยู่หนึ่งกามือ ไม่พูดถึงราคาของวัตถุในโลกภายนอก พูดถึงแค่ ในฟ้ าดินแห่งนี้ ไหนลองบอกกับข้าสิว่าความสูงส่งความต่าต้อยมา จากไหน จะมีการแบ่งแยกสูงต่ากันอย่างไร นี่เรียกว่าฟ้ าสร ้างข้ามา ย่อมต้องมีประโยชน์”

นักพรตยื่นมือไปสลาย “เจดีย์สมบัติ” ที่อยู่เบื้องหน้า ลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วชี้ไปยังลาคลองเส้นยาว “พูดคุยกันถูกชะตาก็จะบอกความลับ ข้อหนึ่งให้เจ้ารู ้ก็แล้วกัน เจ้าจะได้ออมแรงเอาไว้ ต้นฉบับของท้องน้า แห่งนี้มีต้นกาเนิดมาจากลาคลองอู่ติ้งหนึ่งในสาขาแยกของลาคลอง เหยาเย่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง”

“งูเขียวลาคลองยาวสายหนึ่งก็คือเวทกระบี่สายหนึ่ง”

“ยังต้องมีการขัดเกลาซ้าไปซ้ามา”

อวี๋ชิ่งลุกขึ้นยืน “สร ้างเวทกระบี่ได้สาเร็จแล้วจะถามกระบี่กับ ใคร?”

นักพรตตอบไม่ตรงคาถาม ยิ้มเอ่ยว่า “อยากจะไปเดินเล่นในป่า ยอวี้จิงต่อหรือไม่?”

อวี๋ชิ่งถามอย่างสงสัย “ต่อหรือ?”

นักพรตไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปทางภูเขาเขียวลูกนั้น อวี่ชิ่ง หันมองตามไป เมฆหมอกที่บังตาสลายตัวออกจากกัน เผยให้เห็นรูป โฉมที่แท้จริงของภูเขาเขียว ที่แท้มันก็คือห้านครสิบสองหอเรือน

นักพรตก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วไสว ข้างกายของนักพรตมีตัวอักษรสีม่วงทองประโยคแล้วประโยคเล่า จาแลงออกมา มีทั้งตาราลับตาราวิเศษ แล้วก็มีทั้งบทสรรเสริญค า เขียว และยิ่งมีบทกวีและภาษาโบราณ

ยามวสันต์แสงอาทิตย์สดใส นกกิ้งโครงขับขานกังวานไพร แต่ เดินทางอ้อยอิ่งเชื่องช ้าเพราะใจข้ายังเป็ นทุกข์

ในสมัยยุคบรรพกาลไกลโพ้น มีอริยะผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม เคยเห็นนกลักษณะคล้ายนกเค้าแมวใช ้ปากจิกต้นไม้ก็มีเปลวไฟพุ่ง ออกมา

เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน

เสิ่นเค่อยืนอยู่หน้าประตูเมือง ต่อให้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าจะรู ้สึกตัว อย่างเชื่องช ้าแค่ไหนยังเข้าใจแล้วว่าตนอยู่ในดินแดนผีที่น่าเหลือเชื่อ แห่งหนึ่ง

เดินออกมาจากตระกูลหม่าตรอกอูซาอ าเภอหย่งเจียก็เห็นเป็ น ภาพเหตุการณ์นี้แล้ว หากต่อจากนี้ตนออกไปจากเมืองหลวงล่ะ?

คนเต็มถนนมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด เสิ่นเค่อลังเลอยู่เล็กน้อย ก็ไม่กล้าออกไปจากเมืองหลวง” เขาได้แต่เดินเล่นไปตามถนนตรอก ซอกซอยต่างๆ ดื่มเหล้ากินข้าวแล้วนอนพักหาคนมาพูดคุยด้วย เข้า ไปซื้อของในร ้าน ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ฆ่าคนก็ยังไม่เป็ นไร ชาวบ้านของ เมืองหลวงพวกนั้นมีทั้งขุนนางชนชั้นสูง ช่างประเภทต่างๆ เถ้าแก่และ ลูกจ้างร ้าน ลูกค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะมีสถานะแบบใดก็ล้วน มีใบหน้าแบบเดียวกัน เรือนกายของพวกเราเปราะบางราวกับ กระดาษยุ่ยๆ แผ่นหนึ่ง เสิ่นเค่อยังไม่อยากจะเชื่อจึงนั่งยองลงข้างศพ ศพหนึ่ง ยื่นนิ้วไปแตะเลือดมาชิม มีกลิ่นคาวอยู่จริงๆ

นี่ทาให้เสิ่นเค่อขนพองสยองเกล้า อดไม่ไหวด่าไปคาหนึ่งว่า ชั่ว ช ้าจริงๆ!

ภายหลังเสิ่นเค่อพยายามจะออกจากเมืองหลวง แต่ทุกครั้งที่ ทดลองท า ไม่ว่าจะพุ่งตัวออกจากหัวก าแพงเมืองหรือเดินผ่านประตู เมืองออกไป นาทีถัดมาเขาก็จะต้องย้อนกลับมาในเมืองหลวงอีกครั้ง ผีบังตาโดยแท้

เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนอันกว้างใหญ่ เสิ่นเค่อพยายามหา ใบหน้าแบบที่สาม ไม่ว่าเขาจะเดินเล่น วิ่งตะบึง หรือบินทะยาน บุคคล ที่เขาได้พบเจอก็ล้วนเป็ นใบหน้าเดียวทั้งหมด

แต่ละวันกว่าจะผ่านพ้นไปยาวนานเหมือนหนึ่งปี

คนมีชีวิตไม่ควรต้องกลั้นนี่จนตาย เสิ่นเค่อจึงเริ่มคิดจะหาอะไร ท าบ้าง ยกตัวอย่างเช่นเปิดศูนย์สอนวิชาหมัด หวนกลับมาท าอาชีพ เก่าด้วยการกลับไปเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ที่วังหลวงอีกครั้ง หรือ แม้กระทั่งเปิดร ้านขายผ้า…ลูกศิษย์ที่มาเรียนหมัดหรือไม่ก็ลูกค้าที่ แวะมาที่ร ้าน ไม่ว่าจะคาพูดท่าทางหรือการกระทาของพวกเขาก็ล้วน ไม่มีอะไรแตกต่างจาก “คนปกติ” เว้นเสียจากรูปร่างหน้าตา น่า สงสารปรมาจารย์ผู้เฒ่าที่ค่อยๆ ผ่ายผอมลงไปทุกวัน รูปร่างซูบผอม โรยรา แรกเริ่มเขายังคานวณเวลา นับว่าผ่านไปกี่วันแล้ว จนถึง ภายหลังเสิ่นเค่อก็ชินชาอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาเคยเป็ นทั้งช่างจักสาน เป็ นคนพิสูจน์ศพ เป็ นคนตีระฆังบอกเวลา…เมืองหลวงที่กว้างใหญ่ มี คนพักอาศัยอยู่มากถึงสองแสนกว่าคน ทว่าเสิ่นเค่อกลับเหมือนคนมี ชีวิตที่กาลังจะตายทั้งเป็ นอยู่ท่ามกลางศพเดินได้

เขาไม่รู ้แล้วว่าปี นี้คือปี อะไร สี่ฤดูกาลในเมืองหลวงยังคง หมุนเวียนไปอย่างเป็ นระเบียบ วันหนึ่งขณะที่หิมะใหญ่เท่าขนห่านตก ลงมา ผู้เฒ่าที่สีหน้าอ้างว้างนั่งอยู่บนสะพานหยกขาวนอกวังหลวง อย่างเหม่อลอย

แก่ชราไปทีละน้อย

ใกล้จะถูกบีบให้เป็ นบ้าแล้ว

บุรุษคนหนึ่งที่สวมกวานสีทอง สวมชุดคลุมอาคมผ้าโปร่งสีเขียว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเสิ่น ทุกวันนี้พวกเราเป็ นคนสนิท กันแล้ว เรียกท่านว่าพี่ใหญ่เสิ่นคงไม่ถือสากระมัง?”

ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่างทองที่กาลังจะฝ่ าทะลุ ขอบเขต ปณิธานหมัดที่เปี่ยมล้นอยู่บนร่างมิอาจดูแคลนได้ เกล็ด หิมะปลิวปรายหลอมละลายไปด้วยตัวเองอยู่ท่ามกลางฟ้ าดินราวกับ ขยับเข้าใกล้กระถางไฟ

เสิ่นเค่อหันหน้ามามองอย่างแข็งชื่อ มองเซียนที่สง่างามหลุดพ้น ไปจากโลกีย์ ริมฝีปากของผู้เฒ่าขยับแผ่วเบา “เซียนกระบี่เฉิน ได้ โปรดเมตตา ขอร ้องท่านช่วยปล่อยข้าไปเถอะ”

บุรุษสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงราวรั้ว “เหตุผลล่ะ”

เสิ่นเค่ออยากร ้องไห้แต่ไร ้น้าตา พูดวิงวอนว่า “เซียนกระบี่เฉิน พวกเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกแท้ๆ ตอนอยู่ในจวนหม่าอ าเภอหย่งเจีย ข้าก็ไม่ได้ท้าทายเซียนกระบี่เฉิน ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยพูดจาล่วงเกินด้วยซ้า ไฉนเซียนกระบี่เฉินถึงต้องขัง ข้าไว้ที่นี่ ให้ข้าได้แต่รอความตายไปวันๆ เท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกันก็จริง แต่เจ้า กลับผูกปมแค้นกับโลกใบนี้ไว้อย่างลึกล้านัก”

เสิ่นเค่อได้ยินประโยคนี้ก็ไม่รู ้ว่าความเจ็บแค้นเศร ้าโศกผุดมา จากไหน น้าตาไหลนองใบหน้าเหี่ยวย่นของเขา เขายกชายแขนเสื้อ

ขึ้นเช็ดหัวตา ชั่วชีวิตนี้เรียนวิชาหมัดเท้า ตอนอายุยังน้อยก็ออกท่อง ไปในยุทธภพ เวลาประมาณหกสิบปี เสิ่นเค่อไม่กล้าพูดว่าจิตใจ ตัวเองแข็งแกร่งดุจหินผา มีจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกผู้ฝึก ลมปราณ แต่เขาก็เคยเจอเรื่องประหลาดมาแล้วไม่น้อย เพียงแต่ว่า สภาพการณ์ในเวลานี้ช่างน่าสยดสยองอย่างที่ชั่วชีวิตนี้เสิ่นเค่อไม่ก ล้าแม้แต่จะคิดถึงมาก่อน เหมือนตกสู่ฝันร ้ายที่ไม่มีผีโผล่ออกมา แต่ กลับไม่อาจตื่นขึ้นมาได้

เฉินผิงอันกล่าว “แหวนดี ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้วก็ยังมี กลิ่นอายมังกรของแคว้นที่ล่มสลายเหลืออยู่ หรือว่าพี่ใหญ่เสิ่นเคย สังหารฮ่องเต้มาก่อน?”

เสิ่นเค่อรู ้สึกใจฝ่ ออยู่บ้าง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คือของจากสานักการ ผลิตในวังของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีมูลค่าอะไร หากเซียนกระบี่ เฉินต้องการก็เอาไปได้เลย ตัดนิ้วข้าไปด้วยก็ยังได้ ขอเพียงเซียน กระบี่เฉินปล่อยข้าออกไปจากสถานที่บ้าๆ แห่งนี้เถอะ”

เฉิ นผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าเมืองหลวงแห่งนี้มีอะไรที่ไม่ สมเหตุสมผล มีรายละเอียดตรงไหนที่ยังต้องปรับแก้ให้ดีขึ้นอีกบ้าง?”

ความสมจริงอาจไม่ได้มาจากความ “ถูกต้อง” และความ ‘สมเหตุสมผล เสมอไป บางทีความสมจริงก็มาจากความเหลวไหล ไร ้ เหตุผล ความรู ้สึก ไม่มีความเชื่อมโยงอะไรให้กล่าวถึง

เ สิ่น เ ค่อ ได้ยินก็รู ้สึกหัวโ ตเป็ น กร ะดัง มีตร งไห น ที่ไม่ สมเหตุสมผล? เซียนกระบี่เฉินท่านผู้อาวุโสลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า ที่นี่มีอะไรที่สมเหตุสมผลบ้าง?!

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พูดคุยเรื่องนี้กับปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างเจ้า ดูเหมือนจะเป็ นการทาให้คนอื่นลาบากใจอยู่บ้างจริงๆ”

ในสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเป็ นอันดับหนึ่งของแคว้นซึ่งมีประชากรอยู่ อาศัยกันหนาแน่นยามที่หิมะใหญ่ตกหนัก ยากที่จะมองเห็นนก น้า ไหลใต้สะพานเกาะตัวเป็ นน้าแข็ง เหนือศีรษะคือแสงแดดอ่อนจาง เยียบเย็น

เงียบกันไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “อยากจะให้คนดีได้ดีตอบ แทน คนชั่วก็ต้องได้ชั่วด้วย เสิ่นเค่อ เจ้าคิดว่าใช่หลักการเหตุผลข้อ นี้หรือไม่?”

ไม่รอให้เสิ่นเค่อตอบ ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ กลายมามีใบหน้าเป็ นเสิ่นเค่อทั้งหมด

คนชั่วย่อมต้องมีคนชั่วมาจัดการ

บทที่ 1090.4 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน 1

บทที่ 1090.4 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน 2

บทที่ 1090.4 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!