กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 129

สรุปบท ตอนที่ 129.2: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 129.2 – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท ตอนที่ 129.2 ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บนภูเขา
โดย
ProjectZyphon
ใบหน้าของเด็กหนุ่มขาเป๋เต็มไปด้วยความตะลึงงัน ถึงกับหน้าแดงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลันกระอึกกระอักไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร สุดท้ายหันหน้าไปทางอื่นเสียเลย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนเส้นเล็ก เด็กหนุ่มปะทะกับผีสาวชุดแต่งงานโดยตรง ต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่าย ไล่ฆ่าตามกันมา แม้ว่าตบะจะต่างกันมาก แต่พลังอำนาจกลับไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มขี้อายที่หน้าบางถึงเพียงนี้

ในใจนักพรตเต๋าชราเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากเตะเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งทีก็แสร้งทำสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้าเด็กไม่เอาถ่าน”

จากนั้นนักพรตเฒ่าก็เอ่ยเสียงหนัก “ผู้มีพระคุณทุกท่าน หลังออกจากภูเขาพวกเจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เดินทางอีกประมาณหนึ่งวันครึ่งก็จะผ่านภูเขาซานจือ จงจำไว้ว่าอย่าเดินทางตอนกลางคืน ที่นั่นมีผีร้ายตนหนึ่งที่ใช้สุสานเป็นรัง ยึดครองพื้นที่มงคลของตัวเอง ดูดซับเอาปราณวิญญาณจากร่มเงาบรรพบุรุษของคนตระกูลนั้นมา หาไม่แล้วจากการคำนวณดวงชะตาของคนตระกูลนั้น ลูกหลานรุ่นก่อนควรจะมีคนได้เป็นขุนนางใหญ่แล้ว”

“ตบะของผีร้ายไม่ธรรมดา น่าจะเป็นพลังที่เท่าเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สี่แล้ว หลักๆ แล้วเป็นเพราะมันทำตัวลึกลับยากจะจับได้ อีกทั้งยังใช้เวทลับชั่วร้ายบางอย่างที่ไม่รู้ที่มาสร้างหุ่นเชิดผีหลายสิบตัว นักพรตผู้ต่ำต้อยเคยประมือกับมัน แต่กลับต้องพ่ายแพ้เสียท่าหลายครั้ง ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองยันต์วิชาสายฟ้าที่ล้ำค่าไปหลายแผ่น ยังถูกพวกชาวบ้านในท้องถิ่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น ช่างน่าโมโหยิ่งนัก”

หลินโส่วอีใช้จิตรับฟังคำเตือนอย่างลับๆ ของผู้อาวุโสเทพหยินแล้วถามว่า “ท่านนักพรตเชี่ยวชาญวิชาห้าอสนีงั้นรึ? ไม่ทราบว่าเป็นของสำนักหรือพรรคใด?”

นักพรตเฒ่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในใจคิดว่าเด็กหนุ่มเย็นชาผู้นี้สมกับเป็นคนเพิ่งเข้าสังคมขาดประสบการณ์จริงๆ ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์ของคนในยุทธภพบ้างเลย ใครเขาซักไซ้ตรงไปตรงมาแบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาหรือชาวบู๊ในยุทธภพล่างภูเขาก็ล้วนถือเป็นห้อข้ามใหญ่

เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งมีประสบการณ์น่าสงสารมาร่วมกัน อีกทั้งมีเซียนกระบี่พสุธาอย่างเว่ยจิ้นมาช่วยเก็บกวาดให้ นักพรตเฒ่าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างระมัดระวังก็เอ่ยช้าๆ ว่า “พูดแล้วก็ยาว ถ้าอย่างนั้นเหล่าผู้มีพระคุณก็อย่ารังเกียจที่นักพรตผู้ต่ำต้อยพูดมากเลย บ้านเกิดของนักพรตผู้ต่ำต้อยคือแคว้นหนันเจี้ยนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป มีกถามรรคเป็นหลัก ชายแดนมีสายลัทธิเต๋าที่ได้ใช้คำว่าสำนัก คือผู้นำแห่งลัทธิเต๋าในบุรพแจกันสมบัติทวีป ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถานหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลของทั่วหล้า เจ้าสำนักไม่เพียงแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครูของแคว้นหนันเจี้ยน เนื่องด้วยกถามรรคที่มหัศจรรย์เลิศล้ำ วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่กว้างขวาง เป็นเหตุให้กษัตริย์ของแคว้นใกล้เคียงหลายแห่งไปเยี่ยมเยือนถึงขุนเขาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็ให้สมญานามเจ้าสำนักท่านนี้เป็นเจินจวิน เป็นเหตุให้เทพเซียนลัทธิเต๋าผู้นี้ได้ควบตำแหน่งผู้นำเจินจวินของสี่แคว้นไปด้วย คือหนึ่งในสิบมหาเซียนซือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปของพวกเรา บอกตามตรง หากเป็นก่อนหน้าที่เซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขต เมื่อเจอกับเซียนซือท่านนี้ ผู้อาวุโสเว่ยก็คงไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้จริงๆ”

เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีต่างก็ตั้งใจรับฟังอย่างมาก ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว

เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้าก็ยังมีคน

โดยเฉพาะคำเรียกว่า “เจินจวิน” นี้ หลิวจื้อเม่าที่ปรากฎตัวในเมืองเล็กก็ไม่ได้รับสมญานามว่าสกัดคงคาเจินจวินหรอกหรือ?

ทว่าหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวกลับไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างพวกเขา หลี่เป่าผิงคอยมองประเมินแม่นางน้อยหน้ากลมอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังหลบอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าตาบอดอย่างหวาดกลัว ท่าทางเขินอายไม่กล้าพบเจอผู้คน

นักพรตเฒ่ากำลังคุยติดพัน ภายใต้การประคองของจิ่วเอ๋อร์น้อยก็เดินมาอยู่ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันกับหลินโส่วอีโดยไม่รู้ตัว โม้จนน้ำลายแตกฟอง “ใต้หล้านี้สำนักที่มีคุณสมบัติใช้คำว่าสำนัก โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็นปฐมสำนัก สำนักกลางและสำนักล่างสามระดับ ปฐมสำนักมักจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศาลบรรพชน สำนักล่างก็จะมีพรรคและตระกูลมากมายมาพึ่งพา การตั้งชื่อของพรรคเหล่านี้ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ขอแค่ไม่ใช้คำว่าสำนักโดยพลการ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้ชื่อซ้ำกับพรรคและตระกูลอื่นๆ จะเรียกว่าลัทธิ อาราม วัดหรือนิกาย ฯลฯ ตั้งเป็นชื่ออะไรก็ได้ เพียงแต่เมื่อถึงเวลาต้องมอบของบรรณาการบางอย่างให้แก่ ‘สำนักล่าง’ จากนั้นก็เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักล่างภูเขา หาพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ สักแห่งตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขา พยายามรับเอาลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนมาให้เยอะแล้วสืบทอดควันธูปต่อไปร้อยปีพันปี”

“ฉิวเจินกวานอาจารย์ของข้านักพรตผู้ต่ำต้อยก็เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นหนันเจี้ยน ทว่าเสื่อมถอยลงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มาถึงรุ่นของนักพรตผู้ต่ำต้อย เหล่าอาจารย์ก็นั่งกระเรียนคืนสู่แดนสุขาวดีกันไปเกือบหมดแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน คนที่ประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาจริงๆ กลับไม่มีเลยสักคน”

“พูดแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ วิชาห้าอสนีจากสายฉิวเจินกวานของพวกเราไม่ใช่วิชาสายฟ้าที่แท้จริง หลักๆ แล้วฝึกเพียงสองช่องลมปราณตรงตับและถุงน้ำดี แก่นสำคัญอยู่ที่สองคำว่า ‘ถอนหายใจและหัวเราะ’ ซึ่งมาจากความหมายที่ว่า ‘ถอนหายใจกลายเป็นเมฆและฝน แผดเสียงหัวเราะดุจอสนีคำราม’ หากฝึกสำเร็จ เมื่อใช้ใจมองช่องโพรงจะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เมฆและฝนผุดลอย เสียงสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่นในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายแห่ง หลังจากนั้นจะสามารถขานรับกับฟ้าดิน ขยับมือยกเท้าก็สามารถเรียกขานอสนีสวรรค์มากำจัดสิ่งชั่วร้าย…แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคมของเซียนกระบี่เว่ย วิชานอกรีตนี้ของฉิวเจินกวานก็เป็นแค่เรื่องขำขันของผู้คนเท่านั้น”

หลินโส่วอีขมวดคิ้ว “อวัยวะภายในทั้งห้าคือหัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไต ลมปราณของห้าจุดรวมตัวกันกลายเป็นห้าอสนี ถึงจะเรียกว่าเป็นวิชาเที่ยงแท้แห่งมหามรรคา เหตุใดอาจารย์ของท่านนักพรตถึงได้ใช้ ‘ถุงน้ำดี’ ที่นอกเหนือจากอวัยวะทั้งห้ามาเป็นจุดชักนำสายฟ้า?”

คราวนี้สีหน้ากระอักกระอ่วนของนักพรตเฒ่าตาบอดไม่ใช่ของปลอมอีกต่อไป เขาถอนหายใจหนักๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เวทห้าอสนีคือวิชาลับของสำนักกลางที่ไม่แพร่งพราย หากพูดประโยคที่ไม่น่าฟัง ต่อให้คนนอกจะรู้วิธีการฝึกที่สมบูรณ์แบบ แล้วใครจะใจกล้าฝึกโดยพลการ? ช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวกับตับและถุงน้ำดีที่ฉิวเจินกวานใช้ฝึกเป็นหลัก อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นตับก็ยังเป็นเพราะท่านบุรพาอาจารย์ได้รับโอกาสจึงเรียนรู้มาอย่างผิวเผิน สุดท้ายจึงพอจะเลียนแบบเหมือนหลายส่วนอย่างถูไถ แต่ก็เป็นแค่ความเหมือนภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งถึงแก่น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสำนักกลางที่แท้จริงบนโลกใบนี้ถึงได้มีน้อยนัก ส่วนสำนักนอกรีตกลับมีมากเหมือนขนวัว”

หลินโส่วอีพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

นักพรตเฒ่าหัวเราะร่า “แค่เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไรๆ พระคุณช่วยชีวิตไม่อาจตอบแทน ก็ถือซะว่าข้านักพรตผู้ต่ำต้อยพาลูกศิษย์สองคนเดินไปส่งเหล่าผู้มีพระคุณจากไปก็แล้วกัน ก็แค่ต้องเดินเพิ่มไม่กี่ก้าวเท่านั้น เรื่องเล็กน้อย”

หลังจากนั้นคนสองกลุ่มก็เดินทางเป็นเพื่อนกันไปเช่นนี้ ตลอดทางไร้ลมไร้ฝน ราบรื่นไม่มีอุปสรรค รอจนเดินออกจากขอบเขตของภูเขาและแม่น้ำแห่งนั้นมาได้อย่างแท้จริงแล้ว หัวใจที่เกร็งแน่นของผู้เฒ่าตาบอดถึงคลายลงได้ในที่สุด จึงหาพื้นที่ข้างทางแล้วนั่งพัก แม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย (จิ่วเอ๋อร์หมายถึงเหล้า) รีบยื่นกาน้ำส่งให้ เด็กหนุ่มขาเป๋ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า หันกลับไปมองภูเขาลูกนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ก่อนจะจากกัน ผู้เฒ่าควักม้วนภาพเนื้อผ้าที่รักษาไว้อย่างสมบูรณ์แบบม้วนหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “นี่คือ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดกันมาจากอาจารย์ข้านักพรตผู้ต่ำต้อย ด้านบนเขียนบรรยายเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเกือบร้อยชนิด สามารถนำมาใช้อ้างอิง พวกเจ้าเดินทางไกลเป็นครั้งแรกย่อมต้องผ่านภูเขาสูงมากมายหลายแห่ง ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจได้ใช้ นักพรตผู้ต่ำต้อยท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว แค่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น ไม่สู้มอบให้พวกเจ้า เมื่อเป็นของที่มีประโยชน์ก็ควรมอบให้คนที่ได้ใช้ประโยชน์”

หลินโส่วอีกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังรู้ใจจึงรับ ‘ภาพค้นภูเขา’ นี้มา แต่เฉินผิงอันเองก็หยิบเอาหินดีงูที่เหลืออยู่แค่ไม่กี่ก้อนออกมายื่นส่งให้เด็กหนุ่มขาเป๋ บอกว่าเป็นของที่มีเฉพาะในบ้านเกิด ไม่มีค่า เพียงแต่ว่าจำนวนมีไม่มาก เด็กหนุ่มขาเป๋คิดจะปฏิเสธ ผู้เฒ่าตาบอดรีบบอกให้เขารับไว้ บอกว่าเป็นความหวังดีจากผู้มีพระคุณ เด็กหนุ่มขาเป๋ที่เป็นคนเก็บตัวจึงรับไว้เงียบๆ ขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็ขัดเขินเกินกว่าจะพูดคำว่าขอบคุณออกมา

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลังจากที่พวกเจ้าผ่านเมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุนไปถึงอำเภอหลงเฉวียน สามารถไปที่ร้านฉ่าวโถวหรือไม่ก็ร้านยาสุ่ยของที่นั่น ตามหาแม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหร่วนซิ่ว แสดงหินดีงูก้อนนี้ให้นางดู นางก็จะรู้เองว่าพวกเจ้าคือเพื่อนของข้า ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยจัดหาที่ทางในเมืองให้พวกเจ้า เมื่อไปถึงจุดพักม้าที่ใกล้ที่สุด ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปที่เมืองเล็กบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน”

หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกทางกัน ผู้เฒ่าตาบอดยอมที่จะพาลูกศิษย์ทั้งสองอ้อมเดินทางไกล แต่ให้ตายก็ไม่ยอมเดินเข้าไปในภูเขาและแม่น้ำแถบนั้น

เดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองแล้วค่อยๆ ถอนสายตากลับมา

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกอยากฝึกกระบี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!