ในใจนักพรตเต๋าชราเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากเตะเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งทีก็แสร้งทำสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้าเด็กไม่เอาถ่าน”
จากนั้นนักพรตเฒ่าก็เอ่ยเสียงหนัก “ผู้มีพระคุณทุกท่าน หลังออกจากภูเขาพวกเจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เดินทางอีกประมาณหนึ่งวันครึ่งก็จะผ่านภูเขาซานจือ จงจำไว้ว่าอย่าเดินทางตอนกลางคืน ที่นั่นมีผีร้ายตนหนึ่งที่ใช้สุสานเป็นรัง ยึดครองพื้นที่มงคลของตัวเอง ดูดซับเอาปราณวิญญาณจากร่มเงาบรรพบุรุษของคนตระกูลนั้นมา หาไม่แล้วจากการคำนวณดวงชะตาของคนตระกูลนั้น ลูกหลานรุ่นก่อนควรจะมีคนได้เป็นขุนนางใหญ่แล้ว”
“ตบะของผีร้ายไม่ธรรมดา น่าจะเป็นพลังที่เท่าเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สี่แล้ว หลักๆ แล้วเป็นเพราะมันทำตัวลึกลับยากจะจับได้ อีกทั้งยังใช้เวทลับชั่วร้ายบางอย่างที่ไม่รู้ที่มาสร้างหุ่นเชิดผีหลายสิบตัว นักพรตผู้ต่ำต้อยเคยประมือกับมัน แต่กลับต้องพ่ายแพ้เสียท่าหลายครั้ง ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองยันต์วิชาสายฟ้าที่ล้ำค่าไปหลายแผ่น ยังถูกพวกชาวบ้านในท้องถิ่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น ช่างน่าโมโหยิ่งนัก”
หลินโส่วอีใช้จิตรับฟังคำเตือนอย่างลับๆ ของผู้อาวุโสเทพหยินแล้วถามว่า “ท่านนักพรตเชี่ยวชาญวิชาห้าอสนีงั้นรึ? ไม่ทราบว่าเป็นของสำนักหรือพรรคใด?”
นักพรตเฒ่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในใจคิดว่าเด็กหนุ่มเย็นชาผู้นี้สมกับเป็นคนเพิ่งเข้าสังคมขาดประสบการณ์จริงๆ ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์ของคนในยุทธภพบ้างเลย ใครเขาซักไซ้ตรงไปตรงมาแบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาหรือชาวบู๊ในยุทธภพล่างภูเขาก็ล้วนถือเป็นห้อข้ามใหญ่
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งมีประสบการณ์น่าสงสารมาร่วมกัน อีกทั้งมีเซียนกระบี่พสุธาอย่างเว่ยจิ้นมาช่วยเก็บกวาดให้ นักพรตเฒ่าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างระมัดระวังก็เอ่ยช้าๆ ว่า “พูดแล้วก็ยาว ถ้าอย่างนั้นเหล่าผู้มีพระคุณก็อย่ารังเกียจที่นักพรตผู้ต่ำต้อยพูดมากเลย บ้านเกิดของนักพรตผู้ต่ำต้อยคือแคว้นหนันเจี้ยนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป มีกถามรรคเป็นหลัก ชายแดนมีสายลัทธิเต๋าที่ได้ใช้คำว่าสำนัก คือผู้นำแห่งลัทธิเต๋าในบุรพแจกันสมบัติทวีป ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถานหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลของทั่วหล้า เจ้าสำนักไม่เพียงแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครูของแคว้นหนันเจี้ยน เนื่องด้วยกถามรรคที่มหัศจรรย์เลิศล้ำ วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่กว้างขวาง เป็นเหตุให้กษัตริย์ของแคว้นใกล้เคียงหลายแห่งไปเยี่ยมเยือนถึงขุนเขาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็ให้สมญานามเจ้าสำนักท่านนี้เป็นเจินจวิน เป็นเหตุให้เทพเซียนลัทธิเต๋าผู้นี้ได้ควบตำแหน่งผู้นำเจินจวินของสี่แคว้นไปด้วย คือหนึ่งในสิบมหาเซียนซือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปของพวกเรา บอกตามตรง หากเป็นก่อนหน้าที่เซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขต เมื่อเจอกับเซียนซือท่านนี้ ผู้อาวุโสเว่ยก็คงไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้จริงๆ”
เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีต่างก็ตั้งใจรับฟังอย่างมาก ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้าก็ยังมีคน
โดยเฉพาะคำเรียกว่า “เจินจวิน” นี้ หลิวจื้อเม่าที่ปรากฎตัวในเมืองเล็กก็ไม่ได้รับสมญานามว่าสกัดคงคาเจินจวินหรอกหรือ?
ทว่าหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวกลับไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างพวกเขา หลี่เป่าผิงคอยมองประเมินแม่นางน้อยหน้ากลมอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังหลบอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าตาบอดอย่างหวาดกลัว ท่าทางเขินอายไม่กล้าพบเจอผู้คน
นักพรตเฒ่ากำลังคุยติดพัน ภายใต้การประคองของจิ่วเอ๋อร์น้อยก็เดินมาอยู่ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันกับหลินโส่วอีโดยไม่รู้ตัว โม้จนน้ำลายแตกฟอง “ใต้หล้านี้สำนักที่มีคุณสมบัติใช้คำว่าสำนัก โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็นปฐมสำนัก สำนักกลางและสำนักล่างสามระดับ ปฐมสำนักมักจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศาลบรรพชน สำนักล่างก็จะมีพรรคและตระกูลมากมายมาพึ่งพา การตั้งชื่อของพรรคเหล่านี้ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ขอแค่ไม่ใช้คำว่าสำนักโดยพลการ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้ชื่อซ้ำกับพรรคและตระกูลอื่นๆ จะเรียกว่าลัทธิ อาราม วัดหรือนิกาย ฯลฯ ตั้งเป็นชื่ออะไรก็ได้ เพียงแต่เมื่อถึงเวลาต้องมอบของบรรณาการบางอย่างให้แก่ ‘สำนักล่าง’ จากนั้นก็เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักล่างภูเขา หาพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ สักแห่งตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขา พยายามรับเอาลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนมาให้เยอะแล้วสืบทอดควันธูปต่อไปร้อยปีพันปี”
“ฉิวเจินกวานอาจารย์ของข้านักพรตผู้ต่ำต้อยก็เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นหนันเจี้ยน ทว่าเสื่อมถอยลงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มาถึงรุ่นของนักพรตผู้ต่ำต้อย เหล่าอาจารย์ก็นั่งกระเรียนคืนสู่แดนสุขาวดีกันไปเกือบหมดแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน คนที่ประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาจริงๆ กลับไม่มีเลยสักคน”
“พูดแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ วิชาห้าอสนีจากสายฉิวเจินกวานของพวกเราไม่ใช่วิชาสายฟ้าที่แท้จริง หลักๆ แล้วฝึกเพียงสองช่องลมปราณตรงตับและถุงน้ำดี แก่นสำคัญอยู่ที่สองคำว่า ‘ถอนหายใจและหัวเราะ’ ซึ่งมาจากความหมายที่ว่า ‘ถอนหายใจกลายเป็นเมฆและฝน แผดเสียงหัวเราะดุจอสนีคำราม’ หากฝึกสำเร็จ เมื่อใช้ใจมองช่องโพรงจะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เมฆและฝนผุดลอย เสียงสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่นในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายแห่ง หลังจากนั้นจะสามารถขานรับกับฟ้าดิน ขยับมือยกเท้าก็สามารถเรียกขานอสนีสวรรค์มากำจัดสิ่งชั่วร้าย…แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคมของเซียนกระบี่เว่ย วิชานอกรีตนี้ของฉิวเจินกวานก็เป็นแค่เรื่องขำขันของผู้คนเท่านั้น”
หลินโส่วอีขมวดคิ้ว “อวัยวะภายในทั้งห้าคือหัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไต ลมปราณของห้าจุดรวมตัวกันกลายเป็นห้าอสนี ถึงจะเรียกว่าเป็นวิชาเที่ยงแท้แห่งมหามรรคา เหตุใดอาจารย์ของท่านนักพรตถึงได้ใช้ ‘ถุงน้ำดี’ ที่นอกเหนือจากอวัยวะทั้งห้ามาเป็นจุดชักนำสายฟ้า?”
คราวนี้สีหน้ากระอักกระอ่วนของนักพรตเฒ่าตาบอดไม่ใช่ของปลอมอีกต่อไป เขาถอนหายใจหนักๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เวทห้าอสนีคือวิชาลับของสำนักกลางที่ไม่แพร่งพราย หากพูดประโยคที่ไม่น่าฟัง ต่อให้คนนอกจะรู้วิธีการฝึกที่สมบูรณ์แบบ แล้วใครจะใจกล้าฝึกโดยพลการ? ช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวกับตับและถุงน้ำดีที่ฉิวเจินกวานใช้ฝึกเป็นหลัก อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นตับก็ยังเป็นเพราะท่านบุรพาอาจารย์ได้รับโอกาสจึงเรียนรู้มาอย่างผิวเผิน สุดท้ายจึงพอจะเลียนแบบเหมือนหลายส่วนอย่างถูไถ แต่ก็เป็นแค่ความเหมือนภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งถึงแก่น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสำนักกลางที่แท้จริงบนโลกใบนี้ถึงได้มีน้อยนัก ส่วนสำนักนอกรีตกลับมีมากเหมือนขนวัว”
หลินโส่วอีพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!