แต่หากเป็นบุรพแจกันสมบัติทวีปที่นอกเหนือจากต้าหลีแล้ว อย่าว่าแต่เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูอำเภอหลงเฉวียน หรือแม่น้ำชงตั้นของเมืองหงจู๋เลย เกรงว่าต่อให้เป็นองค์เทพระดับล่างอย่างแม่ย่าลำคลองหลงซวีที่ขอแค่มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางท้องถิ่น บวกกับบริเวณใกล้เคียงไม่มีตระกูลเซียนที่ทรงอิทธิพล ก็ล้วนสามารถสร้างจวนภูเขาแม่น้ำที่เปิดเผยโจ่งแจ้งได้ และขนาดของจวนนั้นก็แทบไม่ต่างจากจวนขุนนางระดับสูงของราชสำนักในโลกมนุษย์ ซ้ำอาจถึงขั้นเหนือกว่าอีกด้วย
ในฐานะหนึ่งในองค์เทพที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นหวงถิง เทพแม่น้ำหันสือจึงใช้เวลาหลายปีสร้างจวนโอ่อ่าหรูหราที่แขวนกรอบป้ายว่า ‘มหาวารี’ ไว้ในช่วงแม่น้ำที่ไม่มีเมืองอยู่ใกล้ในรัศมีร้อยลี้ กินอาณาบริเวณพันไร่ เพียงแต่หลังประกาศบอกกับคนนอกไปว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้คือสกุลฉู่ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นหวงถิง คนรุ่นหลังของสกุลฉู่ที่รู้วิธีการหาเงินจึงได้ครอบครองกิจการยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือเทพแม่น้ำหันสือ
คืนนี้ในจวนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เสียงเพลงคลอเคล้าเสียงหัวเราะเบิกบาน สลับเปลี่ยนไปด้วยเสียงกระทบกันของจอกเหล้า
เหล่าผู้สูงศักดิ์นั่งกันอยู่เต็มห้องโถง
สองฝากผนังแขวนโคมฉางหมิง (สว่างยาวนาน) ดารดาษ วัตถุประเภทนี้ต่อให้เป็นตระกูลบนภูเขาก็ยังถือว่าสมบัติล้ำค่าที่มีให้เห็นไม่มากนัก ความแพงของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวโคมซึ่งถูกสร้างอย่างประณีตบรรจง แต่อยู่ที่เครื่องหอมน้ำลายมังกรหนึ่งหยดต่างหาก ส่วนใหญ่แล้วโคมฉางหมิงจะถูกนำไปใช้ในห้องลับของกษัตริย์หรือในสุสานหลวง แค่เอาเทียนไขธรรมดามาแท่งหนึ่ง จากนั้นหยดน้ำมันตะเกียงที่ได้มาจากไขมันปลาวาฬมังกรหอมใต้ทะเลลึกลงไปบนใส้เทียนหนึ่งหยด หากคุณภาพของเครื่องหอมน้ำลายมังกรดีพอ ไฟในโคมนี้อยู่ได้นานร้อยปีก็ไม่ดับ อีกทั้งกลิ่นหอมประหลาดยังคงอยู่เนิ่นนาน สามารถทำให้จิตใจสงบ ไม่แพ้เครื่องหอมชั้นเยี่ยมเลย
ชายสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงอันเป็นที่นั่งของประธาน ในมือถือจอกเหล้าหยกขาว แกว่งเบาๆ สุราสีทองอร่ามเหนียวข้นก็ส่งกลิ่นหอมกำจาย
ตรงหน้าอกชุดคลุมของบุรุษปักรูปวงกลมรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปมังกรสีทองนอนขดตัว
ในห้องโถงมีแขกที่เดินทางมาจากทิศไกลยี่สิบกว่าคน ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีฐานะไม่ธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายสวมชุดคลุมสีดำผู้นี้กลับยังมีท่าทางนอบน้อมเปี่ยมมารยาท บางครั้งสีหน้าและแววตาฉายความกริ่งเกรง ไม่เหมือนแค่ความเคารพที่แขกมีต่อเจ้าของบ้านเท่านั้น
……
โรงเตี๊ยมชิวหลู
ในห้อง เด็กหนุ่มชุดขาวจากไปนานแล้ว อาศัยแสงจากตะเกียง เฉินผิงอันแกะสลักปิ่นหยกขาวชิ้นแรกเสร็จแล้ว จึงเงยหน้ามองหลี่ไหวที่นอนฟุบหน้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง “เจ้าชอบคำว่าหลี่ไหวหรือคำว่าไหวอิน (ร่มเงาต้นไหว)? หากสลักชื่อของเจ้าก็จะเหมือนเป่าผิงกับโส่วอี เรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก แต่ถ้าเป็นไหวอินก็จะพอมีความหมายแฝงอยู่บ้างเล็กน้อย”
หลี่ไหวมีเรื่องวุ่นวายในใจ พอได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตามใจเจ้า ข้ายังไงก็ได้”
เฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกสีหมึกชิ้นนั้นขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเอาชิ้นนี้นะ? สีสันของมันค่อนข้างเหมาะกับคำว่าไหวอิน”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ จากนั้นก็ปลุกระดมความกล้าถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าจะต่อยให้หลินโส่วอีตายในหมัดเดียวเพราะความโกรธหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าถึงแม้หลินโส่วอีจะเป็นผู้ฝึกลมปราณอะไรนั่นแล้ว แต่ถ้าเขาทะเลาะกับเจ้า ข้าก็คิดว่าคงต้องแลกหมัดกันสักสองสามหมัดมากกว่า อันที่จริง หลินโส่วอีนิสัยไม่ค่อยดีอยู่บ้าง ค่อนข้างเงียบขรึมเป็นน้ำเต้าตัน ใส้ก็คดงอหลายตลบ (เปรียบเปรยว่ามีอุบายเยอะ) กว่าพวกเรา แต่เขาก็ไม่ใช่คนจิตใจชั่วร้ายนะ…”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คิดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าจะทะเลาะกับหลินโส่วอีได้ยังไง”
หลี่ไหวพูดเสริมขลาดๆ อีกหนึ่งประโยค “แล้วถ้าหลินโส่วอีเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าก่อนล่ะ เฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นเจ้าจะลงมือก็ได้ แต่แค่สั่งสอนเขานิดหน่อยก็พอแล้ว จำไว้ว่าอย่าหนักมือเกินไป หลินโส่วอีเป็นลูกหลานคนรวย ไม่ได้หนังหนาอย่างข้าที่ถูกหลี่เป่าผิงทุบตีอยู่หลายทีก็ยังไม่เป็นอะไร ข้ารู้สึกว่าเขาทนรับไม่ไหวหรอก”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของคนอย่างไรจึงได้แต่พูดว่า “ข้าจะระวัง”
คราวนี้หลี่ไหววางใจได้จริงๆ แล้ว จึงรีบยิ้มกว้าง ลุกขึ้นวิ่งไปทางหีบหนังสือใบเล็ก หยิบเอาหุ่นไม้สีสันกับเงินก้อนนั้นออกมาแล้วกลับมานั่งลงข้างโต๊ะเหมือนเดิม พอจัดวางให้หุ่นไม้เหยียบบนเงินก้อนแล้วก็ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก่อนหน้านี้หลินโส่วอีบอกกับข้าว่า เขตการปกครองและนครใหญ่ใต้หล้าล้วนใช้กฎระเบียบและพิธีการที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ตั้งให้แก่ราชวงศ์ในการสร้างหอเทพอภิบาลเมือง ในอำเภอที่มีศาลเทพอภิบาลเมืองจะมีขุนนางพ่อแม่อย่างผู้พิทักษ์เมือง นายอำเภอ ฯลฯ ที่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลในโลกมนุษย์ ส่วนตำแหน่งของเทพอภิบาลเมืองก็คือควบคุมดูแลโลกแห่งความตาย ลาดตระเวนพื้นที่ในปกครอง ป้องกันไม่ให้ภูตผีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาก่อเรื่อง เฉินผิงอัน เจ้าว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่พวกเราไปเยือนก่อนหน้านี้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตัวเมือง ทำไมถึงยังเรียกว่าศาลอีกล่ะ? ทำไมถึงไม่เรียกว่าหอเทพอภิบาลเมือง? อีกอย่างเมื่อตอนกลางวันพวกเราเดินเล่นอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองนานขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าอันที่จริงพวกเราได้เจอกับเทพอภิบาลเมืองแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็เท่านั้น?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าต้องไปถามชุยตงซานผู้นั้น”
หลี่ไหวส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ชอบไอ้หมอนั่น ทำตัวลึกลับประหลาดนัก”
……
ในห้องหนึ่ง แม่นางหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยมีตะเกียงหนึ่งดวงกั้นกลาง คนหนึ่งกำลังเช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งยกแขนสองข้างขึ้นกอดอกจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกล่าวว่า “เซี่ยเซี่ย ตอนกลางคืนเจ้าชอบนอนกรนเสียงดังราวเสียงฟ้าผ่า ตอนกลางคืนข้านอนอยู่ในกระโจมของตัวเองห่างจากเจ้าไกลถึงขนาดนั้นก็ยังได้ยินเสียงของเจ้า”
เด็กสาวผิวดำเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “ขอโทษที เวลานอนข้าไม่กรน”
หลี่เป่าผิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ได้นอนกรน?”
เซี่ยเซี่ยใช้ท้องนิ้วลูบคลำไปบนขลุ่ยไม้ไผ่เบาๆ จงใจเลิกคิ้วเลียนแบบท่าทางของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง “เพราะข้าคือผู้ฝึกลมปราณ คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของพวกเจ้าอย่างไรล่ะ?”
หลี่เป่าผิงเชิดคางขึ้นสูง ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหีบหนังสือใบเล็กไหม?”
เซี่ยเซี่ยหมดคำจะเอ่ย
นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดก็หยิบตำราเล่มนั้นออกมาจากในหีบหนังสือ แล้วเริ่มอ่าน คือบันทึกการท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำเล่มที่นางชื่นชอบมากที่สุด ในหนังสือเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของภูเขาและแม่น้ำ เขียนเรื่องของภูตผีปีศาจ เขียนเรื่องของปัญญาชนกับเซียนจิ้งจอก แม่นางน้อยอ่านอย่างเคลิบเคลิ้ม บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง บางครั้งลิงโลด บางครั้งก็เหม่อลอย
เซี่ยเซี่ยล้วนเห็นอยู่ในสายตา นางยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาวาดไล้ไปตามกรอบหน้าเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!