หลังจาก “ย้ายบ้าน” เรียบร้อยแล้ว กล่องไม้ยาวหนักอึ้งสีเหลืองอ่อนอันนี้ก็ยังคงมีพื้นที่ว่าง ขอบไม้มีสีแดงปรากฏ เว่ยป้อแห่งภูเขาฉีตุนบอกว่าเป็นเพราะฝังอยู่ในดินมานานหลายปีเกินไป สีสันจึงเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นแดง ทว่าตัวไม้ไม่เพียงแต่ไม่เน่าเปื่อย กลับกันยังส่งกลิ่นหอมชื่น เวลานี้หลี่ไหวยื่นหน้าเข้าไปในกล่องไม้แล้วตั้งใจสูดกลิ่นดม กลิ่นหอมเย็นสดชื่นนั้นยังคงมีอยู่ดังเดิม ไม่เคยเบาบางจางลง ไม่ต่างจากตอนที่เอาออกมาดมในจุดพักม้าเจิ่นโถวเลยแม้แต่น้อย
หลี่ไหวเริ่มนับนิ้วตัวเอง เดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าไปขอศึกษา ณ ที่ห่างไกล นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เขาหลี่ไหวที่เผชิญกับความยากลำบากโดยอาศัยความอดทนก็ถือว่าพอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย นอกจากกหีบหนังสือสีเขียวมรกตที่ล้ำค่าที่สุดซึ่งวางอยู่ตรงมุมกำแพงแล้ว ยังมีกล่องไม้สีเหลืองอ่อนนี้และหุ่นไม้ หุ่นดินเหนียว และอันที่จริงแล้วด้านในหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ก็ยังเลี้ยงปลามอดที่มีมูลค่ามากไว้อีกหลายตัว รวมไปถึงปลาชิงหมิงตัวนั้นที่อาเหลียงตบด้วยฝ่ามือเดียวก็เข้ามาอยู่ในหนังสือ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวไม่ชอบอ่านหนังสือ น้อยครั้งนักที่จะเปิดอ่านหนังสือที่เฉินผิงอันจ่ายเงินไปเกือบสิบตำลึงเงินเล่มนี้
เวลานี้มองเฉินผิงอันที่ตั้งใจแกะสลักตัวอักษรลงบนปิ่น หลี่ไหวก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองใช้เงินคนอื่นไปตั้งมากขนาดนั้น แต่กลับไม่ค่อยเปิดหนังสือออกอ่าน ตอนที่ซื้อมายังรับปากกับเฉินผิงอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องอ่านแน่ๆ นี่ทำให้เด็กชายรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงหยิบ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ดูใหม่เอี่ยมออกมาจากในกล่องไม้แล้วพลิกเปิดหน้าหนึ่งอย่างไม่เลือกมาก ครั้นจึงเริ่มท่องตัวอักษร เพราะหลี่ไหวคิดว่าจะต้องทำให้มโนธรรมในใจของตนรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด
หลี่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตบหัวตัวเอง รีบยื่นมือเข้าในคอเสื้อ คลำเจอกระเป๋าตรงมุมหนึ่งที่หลี่หลิ่วพี่สาวเย็บให้เขาเองกับมือ แล้วหยิบห่อกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งออกมาโบกตรงหน้าเฉินผิงอัน ยิ้มกว้างพูดว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”
เฉินผิงอันวางปิ่นและมีดแกะสลักลงอย่างระมัดระวัง นวดคลึงดวงตา เอ่ยถาม “คืออะไร?”
ใบหน้าหลี่ไหวเต็มไปด้วยความลำพองใจ คีบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับอย่างเป็นระเบียบออกมาจากในห่อกระดาษน้ำมัน อธิบายว่า “ตอนนั้นที่โรงเรียนมีแต่คนพากันจากไป สุดท้ายเหลือแค่ข้า หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี สือชุนเจียและต่งสุ่ยจิ่งห้าคน บทเรียนคาบสุดท้ายที่ท่านอาจารย์สอน ได้มอบกระดาษตัวอักษรกับพวกเราคนละหนึ่งแผ่น ด้านบนเขียนอักษรคำว่าฉี สั่งให้พวกเราคัดลอกอย่างตั้งใจ บอกว่าเป็นการบ้าน ภายหลังท่านอาจารย์ก็ไม่ได้เก็บต้นฉบับกลับไป การเดินทางไปขอศึกษาในครั้งนี้ ท่านแม่ข้ารู้สึกว่าถึงแม้ตัวอักษรนี้ของท่านอาจารย์จะเขียนได้อย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้ใช้หมึกเข้มข้น ตวัดมืออย่างทรงพลังเหมือนตัวอักษรที่เขียนบนกลอนคู่หน้าประตูของบ้านข้างๆ แต่จะอย่างไรข้ากับอาจารย์ฉีก็เคยเป็นอาจารย์และศิษย์กันมาก่อน เก็บเอาไว้ก็ถือว่าเป็นของให้ระลึกถึง จึงบอกให้พี่สาวของข้าแอบเย็บกระเป๋าไว้ข้างในเสื้อแล้วเอามันใส่ไว้ในกระดาษห่อน้ำมันอีกที ภายหลังข้าถามหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงบอกว่าไม่รู้ไปทำหายที่ไหนแล้ว หลินโส่วอีบอกว่าเก็บไว้ในบ้าน กลัวว่าหากเอามาด้วยจะหายหรือถูกทำลายได้ง่าย”
หลี่ไหวคลี่กระดาษที่พับซ้อนกันเป็นชั้นออก ลูบรอยยับย่นเบาๆ เห็นเพียงว่าตัวอักษรฉีบนกระดาษแผ่นนั้นเขียนอย่างบรรจงเป็นระเบียบ ขนาดเท่าฝ่ามือ
หลี่ไหวจ้องตัวอักษรนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าพูดอย่างตั้งใจว่า “เฉินผิงอัน อักษรฉีนี้ข้ามอบให้เจ้าแล้วกัน ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างข้าก็มักจะขี้หลงขี้ลืมด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “หากเจ้ากลัวว่าจะทำหาย ก่อนจะไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุย ข้าสามารถเก็บรักษาไว้ให้เจ้าก่อนชั่วคราว แต่ในเมื่อเป็นการบ้านที่อาจารย์ฉีมอบให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีก็ควรจะเก็บรักษาไว้ให้ดี ต่อให้อาจารย์ฉีจะไม่อยู่แล้ว ไม่ต้องคัดลอกอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เหมือนที่มารดาของเจ้าบอกไว้ เก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ อย่างน้อยก็ให้เป็นที่ระลึก”
หลี่ไหวพยักหน้า แล้วจึงสอดกระดาษตัวอักษรเข้าไปในระหว่างหน้าหนังสือ จากนั้นปิด ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ลงแล้วใส่ไว้ในกล่องไม้
เขาไม่รู้เลยว่าปลามอดสามตัวและปลาชิงหมิงตัวนั้นที่ต่างก็อำพรางตัวอยู่ในหน้าหนังสือต่างกันล้วนพากันออกจากตัวอักษรเดิม แล้วว่ายตะบึงไปตามช่องหว่างระหว่างบรรทัดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายบินเข้าไปในกระดาษตัวอักษรฉี ด้วยความลิงโลดสุดขีดสมกับคำว่าปลาได้น้ำอย่างแท้จริง
เมื่อเทียบกับหลี่ไหวที่ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลด้วยความโชคดีแล้ว อันที่จริงหลินโส่วอีก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ยันต์โบราณที่มีระดับขั้นสูงต่ำ ระดับคุณภาพดีเลวต่างกันหนึ่งปึกใหญ่ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ หนึ่งเล่ม ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่วาดภูตผีปีศาจนับร้อยชนิดซึ่งนักพรตเฒ่าตาบอดเป็นคนมอบให้หนึ่งแผ่น เพราะเฉินผิงอันมอบหินดีงูชั้นเยี่ยมให้กับเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งก้อน ถือเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน ผู้เฒ่าจึงมอบสมบัติที่บอกว่าสืบทอดมาจากสำนักชิ้นนี้มาให้ สุดท้ายเฉินผิงอันจึงมอบต่อให้กับหลินโส่วอี
ส่วนหลี่เป่าผิงก็ยิ่งได้ทั้งยันต์มงคลดาบที่มีชื่อเสียงและน้ำเต้ากระบี่สี่เงิน แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก มีแค่สองชิ้นนี้เท่านั้น แต่ทั้งสองชิ้นล้วนเป็นสมบัติสำคัญของตระกูลเซียนที่เหล่าผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์เห็นแล้วต้องน้ำลายไหลด้วยความอยากได้
มีเพียงเฉินผิงอันที่ออกแรงมากที่สุดคนเดียวซึ่งดูเหมือนว่ามาถึงท้ายที่สุดแล้วกลับได้มาแค่เม็ดบัวสีทองอ่อนเหี่ยวแฟบเม็ดนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แถมตอนนี้ยังติดหนี้เด็กหนุ่มชุดขาวก้อนใหญ่ด้วย
หลี่ไหวฟุบอยู่บนโต๊ะ ยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง “บ้านของหลินโส่วอีมีเงินมาก เพียงแต่ว่าสถานะบุตรนอกสมรสของเขากระอักกระอ่วนอย่างมาก ดังนั้นเจ้าหมอนี่จึงอาจจะเป็นพวกมีความคิดละเอียดอ่อน ความรู้สึกเฉียบไวอยู่บ้าง เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดี๋ยวข้าหาเวลาไปคุยกับเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว”
หลี่ไหวโพล่งประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ “คนดีกับคนซื่อสัตย์มักจะเสียเปรียบ บิดาข้าเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นวันหน้าเจ้าอย่าเป็นคนดีจะดีกว่า ในอนาคตต้องคิดถึงตัวเองให้มาก ไม่ต้องคอยอดทนยอมถอยให้คนอื่นไปเสียทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นหลี่เป่าผิงที่รับเจ้าเป็นอาจารย์อาน้อยคงโมโหตายก่อนใครเป็นแน่”
พอพูดถึงหลี่เป่าผิง เฉินผิงอันก็อดถามยิ้มๆ ไม่ได้ “เป่าผิงชอบรังแกเจ้า ทำไมเจ้าไม่เคยตอบโต้นางเลย?”
หลี่ไหวหลุดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าสมเหตุสมผล “ก็ข้าไม่กล้านี่นา ข้าเอาชนะนางไม่ได้ด้วย!”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า ความเหนื่อยล้าขณะที่แกะสลักปิ่นหยกอย่างยากลำบากหายวับไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!