ชุยฉานจ้องเป๋งไปยังม่านฟ้า “มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความหวัง ตายเสียยังดีกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้าไปใกล้และเตะหนึ่งที “เลิกแสร้งทำตัวน่าสงสารสักที ไม่อยากรู้หรือว่าทำไมเสี่ยวฉีแค่ทำให้ขอบเขตของเจ้าถดถอย ไม่ได้ถอนรากถอนโคนเพื่อความสะใจ?”
สายตาของชุยฉานเลื่อนลอย พูดพึมพำ “ตอนนั้นเจ้าถูกไล่ออกจากศาลเจ้าบุ๋น ฉีจิ้งชุนไม่เพียงแต่ไม่เดือดร้อนไปกับเจ้า ขอบเขตกลับยังเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เดิมทีนี่ก็อธิบายให้เห็นถึงปัญหามากมาย เขาฉีจิ้งชุนมีคุณสมบัติจะก่อตั้งสำนักของตัวเองนานแล้ว แม้ภายนอกจะดูกลมเกลียวกับสายของเหวินเซิ่งอย่างเจ้า แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติให้สังหารข้า จึงหวังให้เจ้าเป็นคนมาจัดการข้าเอง”
ซิ่วไฉเฒ่าโมโหความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายจึงเตะไปอีกที “ใช้จิตใจของคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชน ประโยคนี้ก็พูดถึงคนอย่างเจ้านี่แหละ! ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่ลุกขึ้น เจ้าก็นอนรอความตายอยู่อย่างนี้ไปเถอะ อย่าได้คาดหวังกับมหามรรคาอีกเลย สาม! สอง! สอง สอง…”
ชุยฉานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ลุกขึ้น
ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าประดักประเดิดยิ่งนัก ได้แต่หันขยิบตาให้เฉินผิงอันมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงรับกระบี่ไม้ไหวมาจากมือของหลี่เป่าผิง ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า พอหยุดยืนอยู่ข้างกายชุยฉานแล้วก็พูดคำว่า “หนึ่ง” ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ครั้นจึงแทงกระบี่ลงไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มชุดขาว
กำลังมือหนักหน่วง ปลายกระบี่พุ่งสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจสัมผัสไม่ได้ว่า หลังจากที่เข้าใจถึงหลักของจิตใจที่มั่นคงจากในม้วนภาพแล้ว ในที่สุดมือทั้งสองข้างก็ตามทันความคิดของเฉินผิงอัน ดังนั้นกระบี่นี้ของเขาจึงแทงได้อย่างเหนือสามัญ กลับยิ่งเฉียบคมเผ็ดร้อน เปี่ยมไปด้วยปราณสังหาร
ทำเอาชุยฉานตกใจจนรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา
เฉินผิงอันเก็บกระบี่ พยักหน้าให้ซิ่วไฉเฒ่า ความหมายก็คือไฟลนขนคิ้วของท่านผู้เฒ่าดับลงแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ มองเฉินผิงอันและสตรีชุดขาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “หาสถานที่เหมาะๆ มาพูดคุยกันหน่อย”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปถลึงตาใส่ชุยฉาน “ตามมา! เกี่ยวข้องกับโอกาสบนมหามรรคาของเจ้า หากยังแสร้งทำเป็นไขสือจะให้เฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเจ้าให้ตายไปเสีย”
คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในลานบ้าน ซิ่วไฉเฒ่าหันมองรอบด้าน ปรายตามอง “ม่านฟ้าเล็ก” ที่กางออกจากใบบัวสีขาวหิมะใบนั้นแวบหนึ่ง ใช้นิ้วทำมุทรา ลังเลอยู่ชั่วครู่ “เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า เฉินผิงอัน มีสถานที่เหมาะๆ บ้างไหม เอาแค่พูดคุยกันได้ก็พอ จะมีหรือไม่มีโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันมองไปยังห้องหลังของหลินโส่วอีที่ดับไฟลงแล้ว อาจเพราะหลินโส่วอีฝึกตนอยู่ในศาลามานานเกินไป ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยเหนื่อยล้าจึงพักผ่อนแล้ว เขาจึงต้องยอมถอดใจไม่ใช้ห้องใหญ่ที่สุดห้องนี้ หันไปพยักหน้าให้ผู้เฒ่า “ไปที่ห้องของข้าก็แล้วกัน มีแค่หลี่ไหวคนเดียวที่นอนหลับ หากเสียงดังจนเขาตื่นก็ไม่มีปัญหา หลินโส่วอีเป็นผู้ฝึกตนน่าจะมีข้อห้ามมากกว่า พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย”
วิญญาณกระบี่นั่งลงบนเก้าอี้หินในลาน เอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้”
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่า เฉินผิงอัน เด็กหนุ่มชุยฉาน หลี่เป่าผิงก็แยกกันนั่งบนม้านั่งสี่ตัวล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง หลี่ไหวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาเป็นเด็กที่นอนได้ไม่นิ่งนัก ตอนนี้จึงนอนพาดเตียงแนวขวาง หัวห้อยออกมานอนขอบเตียง แต่ก็ยังหลับสนิทดี
เฉินผิงอันช่วยจัดร่างเขานอนตรงๆ อย่างคนคุ้นชิน เขาสอดเท้าของหลี่ไหวไว้ในผ้าห่ม เหน็บชายผ้าห่มฝั่งแขนซ้ายขวาและปลายเท้าเบาๆ เพื่อไม่ให้ไอร้อนไหลหายไปจากในผืนผ้า สุดท้ายหลี่ไหวจึงเหมือนบ๊ะจ่างที่ถูกห่อ
เฉินผิงอันทำเรื่องที่สมเหตุสมผลเหล่านี้เสร็จก็กลับมานั่งบนโต๊ะ หลี่เป่าผิงถามเขาเบาๆ “อาจารย์อาน้อย ทุกคืนท่านต้องช่วยห่มผ้าให้ข้าแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”
เฉินผิงอันตอบยิ้ม “เจ้าไม่ต้อง เจ้านอนได้นิ่งกว่าหลี่ไหวเยอะเลย หัวถึงหมอนก็หลับ พอหลับแล้วก็สามารถนอนอยู่ท่าเดิมไม่กระดุกกระดิกได้ถึงเช้า”
หลี่เป่าผิงทอดถอนใจ ใช้กำปั้นทุบฝ่ามือ กล่าวน้ำเสียงเสียดาย “หากรู้แต่แรกตอนเด็กๆ คงไม่ฝึกนอนดี ต้องโทษพี่ชายใหญ่ของข้านั่นแหละที่โกหกข้าว่าถ้านอนนิ่งจะฝันดี”
เฉินผิงอันยิ้ม “วันหน้าหากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วข้าต้องขอบคุณพี่ชายใหญ่ของเจ้าสักหน่อยแล้ว”
ตลอดทางมานี้ คนในครอบครัวที่หลี่เป่าผิงพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือพี่ชายใหญ่คนนี้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความประทับใจที่ดีมากต่อบัณฑิตซึ่งชอบซ่อนตัวอยู่ในห้องหนังสือผู้นี้
ซิ่วไฉเฒ่ามองแม่นางน้อย ยิ้มถาม “พี่ชายใหญ่ของเจ้าใช่หลี่ซีเซิ่งที่อยู่บนถนนฝูลวี่หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ ถามอย่างกังขา “ทำไมหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเฮอๆ “ชื่อนี้ตั้งได้ยิ่งใหญ่ไปหน่อย”
ตอนที่ฟังมาถึงตรงนี้ ชุยฉานอดกลอกตามองสูงไม่ได้
หลี่เป่าผิงค่อนข้างเป็นกังวล “ชื่อมีความหมายยิ่งใหญ่เกินไปเลยไม่ดีงั้นหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งอารมณ์ดี ส่ายหน้าตอบ “ตั้งไว้ยิ่งใหญ่ ขอแค่สยบไว้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดี”
หลี่เป่าผิงคือแม่นางน้อยที่ชอบเสียเวลาครุ่นคิดถึงปัญหาที่ไม่มีความหมายมากที่สุด “ท่านผู้เฒ่า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าสยบไว้ได้ล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!