สรุปตอน ตอนที่ 154.2 – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน ตอนที่ 154.2 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
วิชาอภินิหารไร้เทียมทานที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคาชนิดนี้ ไม่ได้อาศัยฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะ ไม่ได้อาศัยอาวุธอาคมที่มหัศจรรย์ ผู้เฒ่าเพียงแต่โบกมือเรียกมาอย่างไม่ใส่ใจ
หลี่เป่าผิงเพียงรู้สึกถึงความมหัศจรรย์น่าสนใจ
แต่ชุยฉานที่มองออกกลับยิ่งตกตะลึง ตาเฒ่านี่เป็นอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่ตบะอริยะไม่เหลืออยู่แล้ว เหตุใดยังสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้?
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ “ผีสาวผู้นี้น่ารังเกียจหรือไม่? แน่นอนว่าน่ารังเกียจ สังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่อ มีโทษมหันต์ น่าสงสารหรือไม่? ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน เป็นภูตผีที่เดิมทีมีสันดานดีงาม ไม่เพียงแต่มีคุณความชอบในการสยบโชคชะตาให้แก่ราชสำนัก แต่ยังสร้างกรรมดีต่อพื้นที่ของตน ทั้งยังรักใคร่กับบัณฑิต เดิมทีควรจะเป็นเรื่องที่ดีงามถึงจะถูก สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งผีและเทพต่างก็เคียดแค้น ถูกมหามรรคาผลักไสไล่ส่ง ผลกรรมติดตัวพัวพัน ทั่วร่างเปรอะเปื้อนน้ำคลำดินโคลน ไม่ว่ากี่ชาติก็ไม่อาจชดใช้หนี้เลอะเลือนครั้งนี้ได้หมดสิ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ดังนั้นคนที่น่ารังเกียจก็มีส่วนที่น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่?”
ชุยฉานตั้งท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าพยักหน้าแล้วก็ไม่กล้าส่ายหน้า
หลี่เป่าผิงเข้าสู่รูปแบบของ “ขึ้นเขาตีพยัคฆ์ขวางทางให้ตาย” ตั้งใจคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “แต่น่ารังเกียจมากกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ายิ้มให้แม่นางน้อย “ถ้าอย่างนั้นน่ารังเกียจกับน่าสงสาร น่ารังเกียจมากกว่าเท่าไหร่? แล้วน่าสงสารล่ะมากเท่าไหร่?”
แม่นางน้อยตั้งใจคิดอีกครั้ง “สมเหตุสมผล ถูกกฎระเบียบ ย้อนกลับไปลองคำนวณอย่างละเอียดอีกครั้งดีไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “หลี่เป่าผิง ถูกกฎระเบียบย่อมไม่เลวร้าย แต่ปัญหาก็มาแล้ว เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากฎระเบียบบนโลกมนุษย์ใบนี้เป็นกฎดีหรือกฎเลว?”
แม่นางน้อยตะลึงงัน ราวกับว่าไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน แต่กลับไม่ตกประหม่า บอกกับผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า รอข้าสักเดี๋ยวนะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกับของอาจารย์น้อยก่อนหน้านี้ ข้าต้องคิดอย่างจริงจัง!”
รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าอ่อนโยน ผงกศีรษะเอ่ยชม “ประเสริฐ”
ชุยฉานมองรอยยิ้มที่คุ้นตาของผู้เฒ่า มองแม่นางน้อยที่หน้าเคร่งเพราะกำลังใช้สมาธิแล้วแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที
ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ฉีจิ้งชุนและอาจารย์ของฉีจิ้งชุนภาคภูมิใจ สมกับเป็นการสืบทอดความรู้ สืบทอดแนวคิดจากสำนักเดียวกัน แม้แต่บรรยากาศของการถ่ายทอดความรู้ก็ยังเป็นแบบเดียวกัน!
หลังจากตั้งปัญหายากให้กับแม่นางน้อยได้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปมองเฉินผิงอันที่ดวงตาใสกระจ่าง “เมื่อก่อนเวลาที่ข้ารวบรวมความรู้ ขบคิดถึงปัญหายุ่งยาก มักจะชอบตั้งสมมติฐานไปในทางที่เลวร้ายก่อน วันนี้ก็ไม่แตกต่าง คนน่ารังเกียจย่อมมีจุดที่น่าสงสาร ประโยคนี้เดิมทีไม่มีปัญหามากนัก แต่บนโลกมีคนมากมายที่ชอบอวดฉลาด ชอบวางท่าว่าคนอื่นเมามาย มีเพียงข้าผู้คงสติ คิดแต่จะพูดถึงจุดที่น่าสงสาร จงใจมองข้ามจุดที่น่ารังเกียจ”
“คนบางคนกลับชอบที่จะประทานความเมตตาและเกิดจิตใจแห่งความสงสารพร่ำเพื่อ บวกกับที่ ‘จุดที่น่ารังเกียจ’ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริงสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันยังชอบชี้ไม้ชี้มือ บอกให้คนอื่นทำใจกว้างถ่ายเดียว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน? ต้องรู้ว่าคนเหล่านี้ที่ข้าพูดถึง หลายคนมักเคยเรียนหนังสือ มีความรู้ไม่น้อย และไม่แน่ว่าบางคนยังเป็นยอดฝีมือด้วย เฉินผิงอัน เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่? พูดมาได้เลย อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรที่อยากพูด”
ชุยฉานไม่สนใจแล้วว่าคำตอบของเฉินผิงอันคืออะไร เขาเริ่มคิดอนุมานกับตัวเองเงียบๆ ว่าทำไมตาเฒ่าถึงต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้
ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองหลี่เป่าผิงและชุยฉานที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายขวา เอ่ยเนิบช้า “ถูกผิด สำเร็จล้มเหลวล้วนมีใจคนวัดประเมิน ดีเลวมากน้อยย่อมมีพญายมราชเป็นผู้ตัดสิน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? เพราะว่าคุณธรรม การอบรมบ่มเพาะ ประสบการณ์การเติบโต สิ่งที่ประสบพบเจอล้วนแตกต่างกัน ใจคนมีขึ้นมีลงไม่แน่นอน มีสักกี่คนก็กล้าพูดว่ามโนธรรมของตนเป็นกลางเที่ยงธรรมที่สุด?”
“ดังนั้นสำนักนิตินิยมจึงใช้ทางลัด ดึงบรรทัดฐานของคุณธรรมและมารยาทลงมาต่ำที่สุด เมื่ออยู่ที่นี่สูงเพียงเท่านี้ ไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวาดเส้นหนึ่งลงบนโต๊ะ
แล้วจึงหันไปมองชุยฉาน “รู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ที่เจ้าเสนอปัญหานั้นขึ้นมา ข้าถึงได้ตอบไวขนาดนั้น?”
เรื่องไหนไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้
ชุยฉานเอ่ยเสียงขุ่น “เพราะเจ้าชอบและให้ความสำคัญกับฉีจิ้งชุนมากกว่า รู้สึกว่าความรู้ของข้าชุยฉานล้วนเป็นกองกระดาษเสียที่อยู่ในถังขยะ หากจะให้ใต้เท้าเหวินเซิ่งอย่างเจ้าคลี่ออกมารีดให้เรียบก็ยังรังเกียจว่ามือจะสกปรก!”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะปัญหาข้อนั้นของเจ้า ข้าได้ใคร่ครวญมานานหลายปีก่อนที่เจ้าจะถามซะอีก ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ได้แค่ข้อสรุปเดียว เขื่อนยาวพันลี้พังได้ด้วยรังมดเล็กๆ เมื่อน้ำบ่าไหลหลาก ถึงเวลานั้นก็ไม่อาจเก็บกวาดได้อีก เพราะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ภายใต้สถานการณ์ที่รากฐานความรู้ของเจ้ายังไม่แน่นหนาพอ ความรู้ที่แต่เดิมมีจุดประสงค์ที่ดีเยี่ยมนี้จะกลับกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ เหมือนหอเรือนอาคารสูงแห่งหนึ่ง ยิ่งเจ้าสร้างได้สูงได้สวยมากเท่าไหร่ แต่หากรากฐานไม่มั่นคง ลมแรงๆ พัดมาก็พังถล่ม ยิ่งทำร้ายคนมากกว่าเดิม”
ชุยฉานอึ้งงันอยู่กับที่ แต่ก็ยังไม่ยอมศิโรราบง่ายๆ
ผู้เฒ่าถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจ “พวกเจ้าต้องรู้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีโรคเรื้อรัง หาใช่งดงามสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด กฎเกณฑ์มากมายเช่นนั้น เมื่อกาลเวลาบนโลกหมุนเวียนเปลี่ยนผันก็ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดกาล ใช่ว่าสรรพสิ่งบนโลกจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเหตุผลล้วนเป็นสิ่งที่คนในยุคแรกเริ่มสุดพูดได้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แล้วคนรุ่นหลังจะทำอย่างไร? จะเล่าเรียนศึกษาไปเพื่ออะไร?”
ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ารับเอ่ยเสียงหนัก “ใช่ กฎเกณฑ์และมารยาทพิธีการก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่อริยะลำดับที่สองในระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเราอย่างหลี่เซิ่งแสวงหาก็คือความเป็นระเบียบ สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลี่เซิ่ง ‘แย่งกลับมา’ จากมหามรรคาทีละขีดทีละเส้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งนำมาสร้างสิ่งที่เขาเรียกเสียดสีว่า ‘กระท่อมมุงแฝกผุพัง’ หลังหนึ่งขึ้นมาเพื่อบังลมบังฝนให้ปวงประชา กระท่อมนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าต่อให้คนแทบทั้งหมดใช้เวลาตลอดชีวิต ใช้ความรู้ที่ลึกล้ำที่สุดก็ยังเดินไปไม่ถึงกำแพงบ้าน ใหญ่จนต่อให้ตบะของผู้ที่ฝึกตนจะสูงแค่ไหนก็แตะไม่โดนหลังคา ดังนั้นนี่ก็คือความอิสระเสรีและความมั่นคงของสรรพชีวิต”
ชุยฉานแค่นหัวเราะ “แล้วฉีจิ้งชุนล่ะ ความรู้ของเขาแตะโดนหลังคา อาเหลียงล่ะ ตบะของเขาสัมผัสโดนกำแพง ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร? ควรพวกนี้ควรทำอย่างไร? อาศัยอะไรเหล่าผู้เป็นที่ภาคภูมิใจแห่งสวรรค์บนโลกมนุษย์เหล่านี้ถึงเดินออกไปจากเส้นทางของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถเปิดประตูบ้านที่ผู้เฒ่าหลี่เซิ่งเป็นคนสร้าง ออกไปสร้างกระท่อมหลังใหม่เอี่ยมอีกหลังหนึ่ง?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานชี้นิ้วไปยังประตูห้องโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวในเวลาเต็มไปด้วยประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นคนมอง
จึงเห็นได้ว่าทั้งกายและใจของชุยฉานล้วนถูกดึงเข้าร่วมกับการถกปัญหาในครั้งนี้โดยที่เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ อาจถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แค่ความคิดของเด็กหนุ่มชุยฉานเท่านั้น แม้แต่จิตใต้สำนึกที่สมบูรณ์แบบที่สุดในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็อาจถูกชักนำมาด้วย
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “แสวงหาอิสระเสรีเต็มที่อย่างที่ใจพวกเจ้าปรารถนา? ได้สิ แต่เจ้ามีความมั่นใจอะไรถึงแน่ใจว่า สุดท้ายแล้วพวกเจ้าจะเดินออกไปจากประตูบาน ไม่ใช่ใช้หมัดต่อยกำแพงให้ทะลุ ใช้หัวโหม่งหลังคาให้เป็นรู? ทำให้กระท่อมที่เดิมทีแข็งแรงช่วยบังลมบังฝน ช่วยให้เจ้าเติบโตถึงจุดสูงสุดต้องคลอนแคลน เต็มไปด้วยรูรั่ว เพียงลมพัดมาก็อาจพังครืน?”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง “ตาเฒ่าเจ้าพูดเองว่าอิสระเสรีอย่างเต็มที่ แล้วยังจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม?! แล้วเจ้าเอาอะไรมาแน่ใจว่า หลังจากที่พวกเราทุบทำลายกระท่อมหลังเก่าแล้ว กระท่อมหลังใหม่ที่สร้างขึ้นจะไม่กว้างขวางยิ่งกว่า แข็งแรงมั่นคงยิ่งกว่า?”
ผู้เฒ่าแย้มยิ้ม “อ้อ? นี่ก็ไม่เท่ากับย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมหามรรคาข้าหรอกหรือ? ขนาดสูตรตายตัวของข้า เจ้าชุยฉานยังฝ่าออกไปไม่ได้ แล้วยังจะคิดทำลายกฎระเบียบของหลี่เซิ่งงั้นรึ?”
ชุยฉานกล่าวขุ่นเคือง “นี่จะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ชั่วร้ายได้อย่างไร? ตาแก่เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “คำถามข้อนี้ไม่ต้องมาถามข้า ข้าเมตตาเจ้า อาศัยสิ่งนี้มาทำให้จิตวิญญาณของเจ้าสมบูรณ์แบบ เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบ จงถามกมลสันดานของตัวเอง”
ชุยฉานอึ้งงันเป็นไก่ไม้
สุดท้ายราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงแค่ซิ่วไฉเฒ่ากับเฉินผิงอัน หนึ่งแก่หนึ่งเด็กนั่งหันหน้าเข้าหากัน
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!