หลังจากฮ่องเต้เสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เองในครานั้น สายลับทั้งหมดก็ถูกถอนออกไปจากภูเขาตงหัว แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสักคนก็ยังได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาตงหัวเท่านั้น ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในสำนักศึกษาง่ายๆ นี่คือความเคารพที่ต้าสุยมอบให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือความเชื่อใจที่ฮ่องเต้ต้าสุยมีต่ออาจารย์ผู้เฒ่าเหมาเสี่ยวตง
ในโถงเหวินเจิ้ง ควันธูปถูกจุดขึ้นเพื่อบูชาอริยะสามท่านสายของสำนักศึกษาซานหยาแห่งนี้ ตรงกลางสุดแน่นอนว่าต้องเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ บรรพาจารย์ที่เหล่าลูกศิษย์ทุกคนของลัทธิขงจื๊อใต้หล้าเคารพเลื่อมใส ถัดมาเป็นภาพของเหวินเซิ่งที่ปกปิดตัวตน จากนั้นจึงเป็นภาพของฉีจิ้งชุนเจ้าขุนเขาคนแรก
เด็กหนุ่มชุดขาวส่งเอกสารผ่านทางที่หน้าประตูสำนักศึกษาตรงตีนเขาแล้วเดินมาตลอดทางจนถึงที่นี่ พอยื่นหน้าเข้าไปมองในห้องโถงใหญ่ก็ตัดสินใจว่าให้ตายก็จะไม่เดินเข้าไป เขาที่ยืนอยู่นอกธรณีประตูพูดอย่างขุ่นเคือง “เหมาเสี่ยวตง เจ้าคิดจะทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือคิดจะทำร้ายข้ากันแน่? วันนี้เจ้าต้องพูดมาให้ชัดเจน หากข้าไม่พอใจจะปัดก้นเดินจากไปเสียเดี๋ยวนี้ และวันหน้าก็จะไม่มาภูเขาลูกนี้ให้ขวางหูขวางตาเจ้าอีก!”
เหมาเสี่ยวตงยังคงหลับตา เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากเจ้าไม่เข้าไปจุดธูปไหว้ก็ต้องอธิบายเรื่องราวมาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นหากข้ามองเจ้าแค่ครั้งเดียว ข้าจะยอมเป็นหลานของเจ้าเลย”
ชุยฉานนั่งแปะลงบนธรณีประตู “ต่อให้เจ้าเต็มใจเป็นหลานข้า นั่นก็ต้องดูว่าข้าจะยอมรับหรือไม่ จุ๊ๆ ก็ไม่รู้ว่าปีนั้นใครกันที่ร้องไห้ขี้มูกยืดขอเรียนหมากล้อมกับข้า จากนั้นก็เล่นกันมาหมื่นปี สุดท้ายยังคงเป็นข้าที่ยอมต่อให้สองเม็ด แต่ก็ยังถูกข้าพิฆาตจนหน้าเขียว มือสองข้างสั่นระริก อยากจะถือตัวหมากค้างไว้ไม่วาง ถ่วงเวลาไปอีกสักร้อยปี”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวเสียงเฉยชา “หมากล้อมเป็นเพียงแค่วิถีเล็กๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น”
ชุยฉานเสียดสี “ ‘หมากล้อมคือทักษะอย่างหนึ่ง แต่เป็นเพียงแค่ทักษะขนาดเล็กเท่านั้น’? โอ๊ะโอ ใครเล่าที่ไม่รู้ว่าในบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งไม่เป็นโล้เป็นพายกลุ่มนั้น เจ้าเหมาเสี่ยวตงมีความรู้ห่วยแตกหละหลวม แต่ข้อดีที่สุดคือเคารพครูบาอาจารย์เชื่อฟังคำสั่งสอน ปรนนิบัติซิ่วไฉเฒ่าได้ดียิ่งกว่าปรนนิบัติบิดาแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก แต่ทำไมถึงเริ่มนับถือหลักการของอริยะลัทธิอื่นแล้วเล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งอริยะท่านนี้ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของซิ่วไฉเฒ่าด้วย ทำไม เรียนรู้วิชาหมากล้อมจากข้าเลยจะเรียนวิธีการเป็นคนจากข้าด้วยรึ?”
เหมาเสี่ยวตงที่หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลาหัวเราะเสียงเย็น “หากข้ายังพูดหลักการบิดเบี้ยวกับเจ้าอีกครึ่งคำ ข้าจะยอมเป็นลูกชายเจ้า”
ชุยฉานกลอกตาหนึ่งรอบ “ข้ามาเยือนภูเขาตงหัวในครั้งนี้ก็เพราะไม่มีบ้านให้กลับ มาขอพักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงเป็นถึงเจ้าขุนเขาผู้สูงส่ง ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ผ่านไปได้แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ไม่ต้องมองสิ ตาเจ้าไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญ ข้าเองก็มีอิสระเสรี ทุกคนต่างเปรมปรีดิ์”
เหมาเสี่ยวตงหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยนิสัยไร้ผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้าของเจ้า เกรงว่าผ่านไปได้ไม่กี่วัน สำนักศึกษาก็คงถูกเจ้าสร้างความพินาศจนต้าสุยต้องสั่งรื้อทิ้ง หากเจ้าจะงัดข้อกับต้าสุย ข้าไม่ขัดขวาง แต่เจ้าอย่าคิดจะมาสร้างเรื่องก่อราวที่ภูเขาตงหัวแห่งนี้ สำนักศึกษาก็คือสำนักศึกษา คือสถานที่ที่อบรมความรู้ปลูกฝังคุณธรรม ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าชุยฉานมาขี้เยี่ยวแถมยังไม่เช็ดก้นได้ตามใจชอบ!”
ชุยฉานขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้รับจดหมายลับฉบับนั้นของข้าหรือไง? ฉบับที่ข้างในมีตัวหมากเม็ดหนึ่งน่ะ”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ได้รับก็จริง แต่ไม่ได้เปิดออก ต้องรีบโยนทิ้งเข้าไปในเตาไฟ จากนั้นก็วิ่งไปล้างมือ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว”
ประโยคนี้พูดได้ระคายหูมาก แต่ชุยฉานกลับไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ ยิ้มหน้าเป็น “เสี่ยวตงเอ๋ย ที่ข้ามาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีแผนการชั่วร้ายอะไรจริงๆ แต่มาเพื่อตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี มีเวลาว่างก็ไปนอนอาบแดด เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเจ้า แล้วก็ถือโอกาสดูแลเด็กจากต้าหลีกลุ่มนั้นด้วย”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเฮอๆ “เชื่อเจ้า? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นบรรพบุรุษของเจ้า”
คราวนี้ชุยฉานกลัดกลุ้มเล็กน้อย ชี้นิ้วไปที่จมูกตัวเอง “เป็นบรรพบุรุษของข้าแล้วยังไง? เป็นเรื่องเลวร้ายนักหรือ? เจ้าได้เปรียบตั้งเท่าไหร่?”
เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก “หากเป็นบรรพบุรุษของเจ้าจะไม่ต้องโมโหจนแม้แต่ฝาโลงก็ปิดไว้ไม่อยู่งั้นหรือ? แน่นอนว่าข้าไม่อยากเป็น”
ชุยฉานเดือดดาล “เหมาเสี่ยวตง! เจ้าควรจะพอได้แล้วนะ!”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หลับตาส่ายหน้า “ไม่ได้”
ชุยฉานชี้หน้าเหมาเสี่ยวตง “อยากมีเรื่องหรือไง?”
เหมาเสี่ยวตงพลันลืมตา พลังอำนาจพุ่งทะยานนั่นพรั่นพรึง ประหนึ่งเทพจินกังหน้าตาดุดันที่อยู่ในวัด “มีเรื่องก็ดีน่ะสิ ก่อนหน้านี้อยู่ต้าหลี สู้เจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าจะยอมต่อให้เจ้าเลย!”
ชุยฉานกะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นหลานข้าแล้ว หลานต่อยตีกับปู่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงยื่นมือไปกดไม้บรรทัดที่ห้อยไว้ตรงเอว “หลังจากตีเจ้าตายแล้ว ข้าค่อยจุดธูปไหว้เจ้าก็แล้วกัน”
ชุยฉานรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “หยุดก่อนๆ ซิ่วไฉเฒ่ากับฉีจิ้งชุนต่างก็ฝากคำพูดมาให้เจ้าผ่านข้า เจ้าฟังก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เหมาเสี่ยวตงหรี่ตาลง ปราณสังหารในร่างหนักอึ้งเปี่ยมล้นสุดประมาณ เมื่อเทียบกับวินาทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วมีแต่จะทบทวี ไม่มีลดน้อยลง “ระวังจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้าเอง”
ริมฝีปากของชุยฉานสั่นระริก
หลังจากฟังเสียงที่ดังขึ้นในใจจบ เหมาเสี่ยวตงก็จ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีตบะแค่ขอบเขตห้า โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของชุยฉานที่ถูกเขาจ้องนิ่งนานเป็นพิเศษ การที่ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์ถูกเรียกว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจก็เพราะ หากจะบอกว่าสภาพจิตใจเป็นดั่งทะเลสาบ ถ้าเช่นนั้นลูกตาดำก็เป็นดั่งตาน้ำพุในบ่อลึก เมื่อร่างกายซื่อตรงจิตวิญญาณย่อมใสltvkf เมื่อจิตใจชั่วร้าย สายตาย่อมขุ่นมัว
หากอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่ต้าหลี แล้วเจอกับราชครูชุยฉาน เหมาเสี่ยวตงคงไม่มีทางกระทำสิ่งที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เพราะความต่างระหว่างขอบเขตของคนทั้งสองวางไว้ให้เห็นตรงนั้น และความต่างของสองขอบเขตนั้นก็มากดุจก้อนเมฆกับก้อนโคลน ต่อให้เขามองนานแค่ไหนก็มองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออก ทว่าตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับ เปลี่ยนมาเป็นเขาเหมาเสี่ยวตงที่ขอบเขตสูงกว่าจึงสามารถเหยียดตามองลงต่ำ แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง ที่สำคัญคือพวกเขาเคยเป็นคนชาวบุ๋นของอริยะสายเดียวกันมาก่อน จึงมองกันได้ชัดเจนกว่าคนอื่นๆ
เหมาเสี่ยวตงเก็บสายตากลับคืนมาแล้วก้าวยาวๆ จากไป
ชุยฉานถามยิ้มๆ “เจ้าจะไปไหนน่ะ? ไม่คุยกันต่ออีกหน่อยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงแค่นเสียงเย็น “รีบไปล้างตา ไม่อย่างนั้นคงระคายเคืองแย่!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!