กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 167

กระบี่จงมา – ตอนที่ 167.2 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
บทที่ 167.2 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ
โดย
ProjectZyphon
แน่นอนว่าชุยฉานไม่ได้โง่ถึงขนาดเดินไปเคาะประตูบ้านทีละหลังจริงๆ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ แล้วทะยานร่างเหนือหลังคาเรือนพักของสำนักศึกษา กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่ามีอาคารอยู่สองสามแห่งที่ยังมีแสงไฟสว่างจึงทะยานร่างไปยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด เขย่งปลายเท้าเกาะขอบหน้าตามองเข้าไป ไม่เห็นหน้าคนในห้อง แต่ในยินเสียงน้ำไหลซู่ๆ ชุยฉานจึงเจาะหน้าต่างกระดาษอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเขาก็ได้เห็น “ภาพสาวงามอาบน้ำ” จริงดังคาด เสียดายก็แต่เรือนกายของสตรีนางนั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย ในขณะที่ชุยฉานรู้สึกเสียสายตาที่ได้มาเห็นภาพนี้ สาวน้อยในอ่างน้ำกลางห้องก็กรีดร้องเสียงดัง

ชุยฉานยังไม่ไป เขายืนบ่นอยู่ที่เดิม “ทำไมๆ ข้าไหมที่เป็นคนเสียเปรียบน่ะ!”

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง หยดน้ำก็สาดกระเซ็นอยู่เต็มหน้าต่าง ที่แท้ขันน้ำก็ปลิวมากระแทกนั่นเอง

ชุยฉานที่นวดคลึงดวงตาพลิ้วกายจากไปนานแล้ว ปากยังบ่นพึมไม่หยุด “ปวดตาเลย”

ด้านหลังตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่แหลมดังมากกว่าเดิม แสงสว่างถูกจุดขึ้นในหอพักบริเวณใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง

ชุยฉานอาศัยความทรงจำเดินตามหาไล่ไปทีละหอพัก สุดท้ายก็หาคนที่ต้องการพบเจอในที่สุด บังเอิญมากที่หลี่ไหว หลี่เป่าผิง หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ต่างก็อยู่กันครบทั้งสี่คน

อวี๋ลู่นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง แม้ว่าใบหน้าจะซีดขาวราวหิมะ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่เลว

หลี่ไหวนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ก้มหน้าลงมองรองเท้าแตะบนเท้าตัวเอง ท่าทางกลัดกลุ้มคิดหนัก

หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีนั่งตรงข้ามกันอยู่ข้างโต๊ะ ต่างคนต่างอ่านหนังสือ

ชุยฉานผลักประตูเดินเข้าไปพลางหัวเราะเสียงดัง “ดีใจหรือไม่? แปลกใจหรือไม่?”

หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หันไปมองข้างนอกอย่างดีใจ “อาจารย์อาน้อยล่ะ?!”

ชุยฉานข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา ใช้ปลายเท้าแตะปิดประตูดังปัง เดินไปนั่งบนม้านั่งตรงกลางระหว่างหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี กลอกตาพูด “อาจารย์ไม่ได้มา ข้ามาคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย”

หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าประตู เปิดประตูเยี่ยมหน้าออกไปมองนานมาก เมื่อไม่เห็นเงาร่างของอาจารย์อาน้อยถึงได้กลับมานั่งที่เดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง ฟุบตัวลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก

หลินโส่วอีวางหนังสือ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ลง ใช้ด้ายสีทองมัดพันอย่างระมัดระวัง พอเก็บเข้าไปในสาบเสื้อหน้าอกเรียบร้อยแล้วก็ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

ชุยฉานรินน้ำชาให้ตัวเอง ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วโบกมือพูด “ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”

เขาหันไปยิ้มให้หลินโส่วอี “ไปเรียกเซี่ยเซี่ยมา บอกว่าคุณชายของนางต้องการคนยกน้ำรินน้ำชา”

หลินโส่วอีลังเล ชุยฉานมองตาขวาง “ทำไม เจ้าแอบชอบเซี่ยเซี่ยเลยกลัวว่าคืนนี้ข้าจะให้นางอุ่นเตียงให้? เจ้าตาบอดหรือข้ากันแน่ที่ตาบอด?”

หลินโส่วอีลุกขึ้นยืน เดินออกจากหอพักไปเรียกเซี่ยเซี่ยอย่างจำใจ

ชุยฉานมองหลี่ไหวที่เซื่องซึม ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “หลี่ไหวเอ๋ย เลิกเสียใจได้แล้วน่า หลังจากเฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้ยังชมเจ้าด้วยนะ บอกว่าเจ้ากล้าหาญ มีความรับผิดชอบ คือชายชาตรีที่องอาจอย่างแท้จริง”

เด็กชายพลันเงยหน้าขึ้น “จริงหรือ?!”

หลี่ไหวคลี่ยิ้มกว้างทันใด

หลี่เป่าผิงหัวเราะหยัน “เจ้าโง่หรือไง อาจารย์อาน้อยไปจากเมืองหลวงต้าสุยนานขนาดนี้แล้ว จะรู้เหตุการณ์ล่าสุดของในสำนักศึกษาได้อย่างไร? อีกอย่างอาจารย์อาน้อยจะพูดชื่นชมคนอื่นแบบนี้หรือ?”

หลี่เป่าผิงเชิดหน้าขึ้น “อย่างมากก็แค่ยิ้ม นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว หรือถ้าจะมากๆ ที่สุดก็แค่ยกนิ้วโป้งให้เจ้าเท่านั้น”

แม่นางน้อยพลันยืดเอวขึ้นตรง ยกแขนสองข้างกอดอก “คำชมและของรางวัลจากอาจารย์อาน้อยเก็บไว้ให้ข้าคนเดียวเท่านั้นแหละ!”

หลี่ไหวหน้าหมองเล็กน้อย

เขาลังเลอยู่นาน ก่อนจะก้มหน้าลงพูดคล้ายพูดกับรองเท้าแตะคู่นั้นของตัวเอง “ไม่อย่างนั้นข้าย้ายมาอยู่กับหลินโส่วอีดีไหม?”

หลี่เป่าผิงหันมามอง “หลี่ไหว ทำไมเจ้าถึงยังได้ขี้ขลาดแบบนี้อยู่อีก? ทำไมต้องเป็นเจ้าที่ย้ายออก จะย้ายก็ควรต้องเป็นเจ้าสามคนนั่น!”

แล้วจู่ๆ แม่นางน้อยก็ก้มหน้าลง กลับไปนอนฟุบบนโต๊ะอีกครั้ง “ช่างเถอะ ข้าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องพวกนี้”

อวี๋ลู่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก หลี่ไหวรีบเข้าไปช่วยประคอง อวี๋ลู่เอนหลังพิงกำแพง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ เอ่ยขออภัย “ไม่อาจลุกไปต้อนรับคุณชายได้”

ชุยฉานไม่คิดจะสนใจเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เขามองประเมินเครื่องตกแต่งเรียบง่ายในหอพัก นิ่งคิดไปอีกครู่หนึ่งถึงพูดกับหลี่เป่าผิงว่า “หลี่ไหวย้ายมาอยู่นี่น่ะถูกแล้ว นี่ไม่เกี่ยวกับว่ากล้าหาญหรือไม่ หลี่ไหวอยู่ที่นั่นต่อคือแผนระดับล่าง ย้ายมาอยู่ที่นี่คือแผนระดับกลาง ย้ายไปอยู่ที่หอพักของหลี่ฉางอิงถึงจะเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม”

และเวลานี้หลินโส่วอีก็พาเซี่ยเซี่ยกลับมา พอหลินโส่วอีนั่งลงแล้วเด็กสาวผิวดำเกรียมก็มองเห็นชุยฉาน ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด กล้ายืนอยู่แค่ตรงหน้าประตูเท่านั้น

หลี่เป่าผิงสงสัย “ทำไมถึงเป็นแผนที่ดีเยี่ยมนั้นข้าเข้าใจ แต่แผนระดับล่างนี่หมายความว่ายังไง?”

ชุยฉานไล้นิ้วหมุนถ้วยชากระเบื้องสีขาวพลางเอ่ยเนิบช้า “ขโมยของ รังแกหลี่ไหว นี่เป็นเรื่องปกติของเด็กที่ไม่รู้ความ อีกอย่างเด็กหนุ่มเลือดร้อน ไม่มีเหตุผลมากที่สุด พวกเจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับยุทธภพที่แท้จริงมาก่อน พวกจอมยุทธ์พเนจรไร้สมองเหล่านั้น แค่พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็สามารถฆ่าคนทั้งตระกูลของอีกฝ่ายได้ หลังจบเรื่องถูกทางการจับตัวไปตัดหัว ลองเดาดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างไร? เมื่ออยู่บนลานประหาร ต่อให้เพชฆาตจ้องมองลำคอของพวกเขา คิดว่าควรจะบั่นคอพวกเขาอย่างไร คนเหล่านั้นก็ยังสามารถลำพองใจได้เหมือนเดิม ไม่มีใครรู้สึกผิด เจ้าคิดว่าพวกเขากลัวตายงั้นหรือ? ฆ่าคนไม่ใจอ่อน ถูกฆ่าไม่ก้มหัวให้ พวกเขาก็ร้ายกาจอย่างนี้แหละ”

หลี่ไหวรับฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกเพียงว่าคนพวกนี้สมองเสื่อมหรือไร? บนโลกจะมีคนที่ไร้เหตุผลแบบนี้จริงๆ หรือ?

ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นต่อให้เด็กพวกนั้นจะยอมรับผิด กลับไปถูกพวกบิดาตีจนก้นลาย ไม่แน่ว่าวันไหนโมโห รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีก ข่มกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ตลอดเวลา ปะเหมาะพอดีถูกคนข้างกายที่ประสงค์ร้ายพูดยั่วยุสองสามคำ บอกว่าเจ้าเป็นถึงบุตรชายของกั๋วกงคนนั้น ท่านโหวคนนี้ เก็บกลั้นความอัปยศเช่นนี้เอาไว้จะไม่ผิดต่อวิญญาณของบรรพชนที่อยู่บนสวรรค์หรือ? เจ้าเป็นถึงลูกหลานของขุนนางบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการของต้าสุย รูปภาพบรรพบุรุษของพวกเจ้าตอนนี้ยังแคว้นอยู่ในหอจื่อเซียวของต้าสุยอยู่เลยนะ”

อวี๋ลู่พยักหน้ารับน้อยๆ

ในฐานะองค์รัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลู เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา และในบรรดาคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้อง เขาอาจเป็นคนที่เข้าใจความหมายของชุยฉานได้ดีที่สุด

ชุยฉานหัวเราะเฮอๆ อยู่สองที แล้วพูดต่อว่า “จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกว่าจริงด้วย พวกเราแหยในถิ่นตัวเองแบบนี้ วันหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร? ไม่เท่ากับว่าทำให้คนทั้งตระกูลเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงหรอกหรือ? ดังนั้นกลางดึกของคืนใดคืนหนึ่งจึงหยิบมีดมาปาดคอหลี่ไหว ลูกหลานของตระกูลเศรษฐีสามคนนั้นอาจทำไม่ได้เหมือนจอมยุทธ์พเนจรที่พอความตายมาเยือนแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ แต่หากถึงขั้นนั้นจริงๆ หลี่ไหวตายไปแล้ว พวกเขาจะรู้สึกเสียใจภายหลังหรือไม่ จะตกใจจนอึราดกางเกงหรือไม่ จะยังมีความหมายอีกหรือ?”

หลี่ไหวฟังจนหน้าซีดขาวไร้สีเลือด

อวี๋ลู่ยื่นมือไปตบไหล่เด็กชายแสดงการปลอบใจ เด็กชายหันหน้ามามองเขา น่าเสียดายก็แต่รอยยิ้มของเขาน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

ชุยฉานวางถ้วยชาลง เคาะโต๊ะเบาๆ “ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากการทำอะไรตามอารมณ์อย่างแท้จริงนั้น ย่อมต้องเป็นการช่วงชิงกันทางผลประโยชน์ที่มีความคาบเกี่ยวสลับซับซ้อน มีคนโยนหินถามทาง มีคนกระพือลมจุดไฟ มีคนจับปลาในน้ำขุ่น ไม่ว่าอะไรก็มีหมด แต่ไม่เป็นไร ข้ามาแล้วนี่ไง หลังจากนี้พวกเจ้าก็ทำใจให้สงบศึกษาเล่าเรียนของตัวเองไป เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องสนใจ”

อารมณ์ของทุกคนที่อยู่ในห้องพักต่างก็ซับซ้อน

ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ “ทำไม ไม่เชื่อข้า? ไม่เชื่อว่าข้ามีความสามารถนี้ หรือไม่เชื่อว่าข้าหวังดี? หากเป็นข้อแรก พวกเจ้าสามารถตั้งตารอได้เลย แต่หากเป็นข้อหลัง…เอาเถอะ เฉินผิงอันอาจารย์ของข้าเป็นกังวลว่าพวกเจ้าจะถูกคนรังแก ตลอดระยะทางที่เดินทางกันไป เขาไม่เคยสงบใจได้เลย ดังนั้นจึงทำการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากับข้าครั้งหนึ่ง โดยให้ข้ามาช่วยดูแลพวกเจ้าที่มาศึกษาอยู่ต่างถิ่น ตอนนี้คงเชื่อข้าได้แล้วกระมัง?”

ชุยฉานมองหลี่เป่าผิง “หลักการที่แท้จริงในยุทธภพไม่เคยอยู่ที่คำว่ารวดเร็ว”

แล้วก็หันไปมองหลินโส่วอี “ภูเขาสูงน้ำไหล วันเวลายาวไกล ชั่วชีวิตนี้หากผูกปมแค้นกับใครแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจจริงๆ ก็ควรเล่นงานศัตรูคู่แค้นของตัวเองก่อน จากนั้นค่อยหันไปรังแกลูกหลานของเขา ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายไม่ใช่หรือ?”

สุดท้ายมองไปยังหลี่ไหว “จำไว้นะ ผู้ฝึกบำเพ็ญตนจะแก้แค้นก็ดี ตอบแทนบุญคุณก็ช่าง หนึ่งร้อยปีก็ยังไม่ถือว่ายาวนาน”

ชุยฉานกล่าวจบก็ตบมือตัวเอง “เอาล่ะ ข้าพูดธุระสำคัญจบแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!