อ่านสรุป ตอนที่ 168.3 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 168.3 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เด็กสาวลูบศีรษะของน้องชาย
หลินโส่วอีหน้าไม่หนาพอให้ดึงดันอยู่ต่อ จึงไปอ่านหนังสือที่หอหนังสือ เพียงแต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัว จึงวางหนังสือลงแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าต่างอย่างอ้างว้าง สายตามองจ้องรอให้ดวงตะวันตกดิน
ใกล้ยามสนธยา หลี่ไหวพลันเอ่ยว่าต้องการคุยอะไรบางอย่างกับบิดา สตรีแต่งงานแล้วถามว่ามีเรื่องอะไรถึงพูดคุยต่อหน้านางไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเขาหาพี่เขยให้กับหลี่หลิ่วแล้วเลยถือโอกาสหาแม่เลี้ยงให้กับตัวเองไปด้วยกันเลยหรอกนะ? หลี่ไหวพูดยิ้มๆ ว่าบิดาของเขาหล่นลงไปในหลุม ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้อีกแล้ว สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะพลางยกมือทำท่าจะตี มองเงาร่างของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่พากันเดินไปทางประตู เมื่อในห้องไม่มีผู้ชายอยู่แล้ว สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ถอนหายใจ หลั่งน้ำตาเงียบๆ แม้ว่าเด็กสาวจะเป็นคนอ่อนโยนอ่อนหวาน แต่กลับไม่มีนิสัยอ่อนไหวเป็นทุกข์ง่าย ทว่าพอเห็นมารดาของตนเป็นเช่นนี้ หลี่หลิ่วก็อดเสียใจไม่ได้
พวกนางต่างก็ไม่โง่ หากไม่ได้รับความยากลำบากที่แท้จริงมาก่อน หลี่ไหวก็ไม่มีเติบโตขึ้นภายในค่ำคืนเดียวเช่นนี้ เพียงแค่เด็กชายที่รู้ความแล้วไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุขก็เท่านั้น
หลี่ไหวพาชายฉกรรจ์เดินออกมานอกประตู ห่างจากนอกประตูไปไม่ไกลมีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง คนทั้งสองเดินเลียบทะเลสาบอย่างเชื่องช้า หลี่ไหวเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ภูเขาตงหัวลูกนี้ใหญ่เท่าพวกภูเขาที่บ้านเกิดที่ท่านเคยไปเยือนได้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ตอบยิ้มๆ “ใหญ่กว่าภูเขาบางลูก แต่ก็เล็กกว่าบางลูก”
คำตอบจืดชืดน่าเบื่อหน่ายพอๆ กับตัวของชายฉกรรจ์เอง
หลี่ไหวกลอกตามองบน นั่งยองอยู่ข้างทะเลสาบ หยิบหินก้อนหนึ่งโยนไปในน้ำ “ท่านพ่อ แค่ที่ท่านดีต่อท่านแม่ของข้าก็ดีมากแล้ว”
ชายฉกรรจ์พูดไม่เก่ง จึงไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร
หลี่ไหวพลันลดเสียงลงต่ำ “แล้วท่านพ่อก็ดีกับข้ามาก เรื่องในอดีต ข้าขอโทษนะ”
ชายฉกรรจ์นั่งยองลง เอ่ยเสียงเบา “มีลูกที่ไหนพูดขอโทษพ่อบ้างเล่า ไม่จำเป็นหรอก”
แล้วไม่นานชายฉกรรจ์ก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้าพูดแบบนี้ พ่อใจไม่ดีเลย”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง หันหน้ากลับไปมองบุรุษที่เคยทำให้ตนถูกเพื่อนในโรงเรียนดูถูกผู้นี้แล้วเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ข้าขี้ขลาด นิสัยนี้เหมือนท่านหรือเหมือนท่านแม่ล่ะ ตามหลักแล้วท่านยังกล้าขึ้นเขาไปคนเดียว แต่ข้าไม่กล้า เมื่อก่อนตอนอยู่กับเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกอะไร อยู่ในบ้านมาจนชินแล้วจึงรู้สึกว่าการที่คนอื่นดีต่อข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกหลักฟ้าดินแล้วหรอกหรือ? ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย ข้างนอกมีคนชั่วร้ายอยู่มากมาย แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่ชอบพูด นิสัยพอๆ กับท่านพ่อ หากดีกับใครก็แทบจะเอาของทั้งหมดที่มีอยู่ในกายมอบให้คนๆ นั้น ปากเขาไม่เคยพูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน…”
หลี่ไหวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “เพียงครั้งเดียวที่เฉินผิงอันดีกับตัวเองมากหน่อย ก็คือครั้งที่รับปากว่าจะเข้ามาในสถานศึกษาพร้อมกับพวกเรา เขาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ไม่ใช่รองเท้าแตะ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้เผยตัว แอบจากไปเงียบๆ ข้าคิดถึงเขายิ่งนัก”
ชายฉกรรจ์ยื่นมือหนาใหญ่ออกมาวางเบาๆ บนศีรษะของเด็กชาย “โตแล้วนะ”
หลี่ไหวปัดมือของชายฉกรรจ์ทิ้ง กล่าวเสียงขุ่น “เปล่าสักหน่อย ตอนออกจากบ้านอายุเจ็ดขวบ นี่ยังไม่ทันปีใหม่เลย ดังนั้นข้าก็ยังเจ็ดขวบเหมือนเดิม”
ชายฉกรรจ์วางสองมือทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง นั่งยองมองน้ำในทะเลสาบแล้วเริ่มเหม่อลอย สุดท้ายกล่าวอย่างละอายใจว่า “ชั่วชีวิตนี้พ่อไม่มีความสามารถอะไร ไม่อาจทำให้พวกเจ้าสามคนมีชีวิตที่สุขสบายได้แม้แค่ครึ่งวัน แถมยังทำให้เจ้าถูกคนดูหมิ่น เรียนหนังสือไม่มีความสุข ในใจของพ่อ…”
หลี่ไหวโบกมือตัดบทคำพูดของชายฉกรรจ์ พูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ได้ตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านอายุปูนนี้แล้วยังพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก”
เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งก็ทำไหล่ลู่คอตก “ท่านพ่อ อันที่จริงตอนที่เห็นท่าทางของท่านตอนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
คำพูดที่มาจากใจจริงของบุตรชาย ทำให้ชายผู้เงียบขรึมขยี้ซีกแก้มของตัวเองอย่างแรง มักจะรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อเด็กชายที่รู้ประสาผู้นี้จริงๆ
สุดท้ายหลี่ไหวลุกขึ้นยืน เอ่ยยิ้มๆ “ท่านพ่อ สองวันนี้พาท่านแม่กับพี่สาวไปเดินเที่ยวเมืองหลวงของต้าสุยให้สนุกเถอะ ต่อให้เป็นของดีที่ซื้อไม่ไหว ได้มองก็ยังดี วันหน้ารอข้าเรียนหนังสือจนได้ดิบได้ดีแล้ว จะซื้อให้พวกท่านเอง! ไปเถอะๆ ท่านแม่ขี้กลัว ไม่มีพวกเราอยู่ข้างกายต้องเป็นกังวลอีกแน่”
หลี่ไหวกล่าวอย่างจริงจังมาก “ท่านพ่อ วันหน้าท่านต้องดีกับท่านแม่ให้มากๆ นางก็นิสัยอย่างนั้นเอง พูดจาไม่น่าฟัง แต่ท่านเป็นผู้ชายก็ควรจะใจกว้างกับนางให้มากหน่อย ว่าไหม?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับอย่างแรง ลุกขึ้นยืนแต่กลับบอกว่าเขาขออยู่ดูทัศนียภาพคนเดียวสักครู่
หลี่ไหววิ่งเหยาะๆ กลับไป เด็กชายกระโดดโลดเต้น ไร้ทุกข์ไร้กังวล แถมยังฝึกท่าหมัดมั่วซั่วไปด้วย
ชายฉกรรจ์พลันตะโกนเรียกบุตรชายของตน
หลี่ไหวที่วิ่งไปไกลแล้วหันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านพ่อ มีอะไร? อยากเข้าห้องน้ำหรือ?”
ชายฉกรรจ์ชูนิ้วโป้งให้เขา “เก่งมาก!”
ชุยตงซานกล่าวยิ้มๆ “รากฐานของต้าสุยลึกล้ำไม่อาจดูแคลน อย่าได้ทำตัวเหลวไหล อีกอย่างข้าได้ระบายความโกรธแทนเด็กๆ ทุกคนไปแล้ว สั่งสอนเจ้าไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนนั้นไปแล้ว หลังจากนี้พวกเขาจะเดินไปบนเส้นทางของการศึกษาต่อได้อย่างราบรื่น อีกอย่างมีข้าคอยให้การดูแลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น”
แต่ชุยตงซานกลับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอย่างมีเจตนาแอบแฝง “แต่ว่าเพื่อนร่วมหอพักสามคนของหลี่ไหว เจ้าลูกหมาสามคนนั้นได้เอ่ยขอโทษแล้ว ของก็คืนแก่หลี่ไหวแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ผู้ปกครองของพวกเขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก หากเจ้าโมโหจริงๆ ก็สามารถไปพูดคุยกับพวกเขาที่บ้านได้”
ชายฉกรรจ์มองเขาครู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบชูสองมือขึ้นพลางบ่นอย่างคับแค้นใจ “ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับข้าชุยตงซานแม้แต่อีแปะเดียว ต่อให้เกี่ยวก็เกี่ยวกับราชครูในเมืองหลวงคนนั้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เจ้ามาเยือนเมืองหลวงต้าสุยในครั้งนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความต้องการของเขาและหยางเหล่าโถว ดังนั้นข้าจึงได้รับความอยุติธรรมมากกว่าใคร ตอนนี้วิญญาณแยกออกจากกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจยังต้องเล่นหมากล้อมกับแข่งกับตัวเอง เจ้าว่าข้าน่าสมเพชหรือไม่เล่า? เจ้าหลี่เอ้อร์จะตัดใจลงมือกับข้าได้ลงคอเชียวรึ?”
หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับข้า พวกเจ้าจะวางแผนอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า แค่ไม่มาหาเรื่องข้า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของข้า ข้าหรือจะสนว่าพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่? แต่ตอนนี้ลูกชายข้าถูกคนรังแกถึงขนาดนี้ ถูกรังแกจน…เขาไม่กล้าเล่าให้พ่อแม่ตัวเองฟังแม้แต่คำเดียว!”
ชายฉกรรจ์ถ่มน้ำลาย คนไม่เอาถ่านที่วันๆ เงียบงันราวน้ำเต้าตันผู้นี้หัวเราะหยัน “ช่างหัวต้าสุยมันสิ!”
ชุยตงซานรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด แถมยังเป็นตัวประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างหลี่เอ้อร์ผู้นี้ ต่อให้ยืนเฉยๆ ปล่อยให้นักพรตขอบเขตสิบทั่วไปขว้างสมบัติอาคมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งก็ยังต้องใช้เวลาเกินครึ่งวัน และไม่แน่ว่าหลี่เอ้อร์เองอาจจะยังไม่ทันระคายผิวหนัง ตัวผู้ฝึกลมปราณก็คงเหนื่อยจนสำลักไปก่อนแล้ว
ชายฉกรรจ์ก้าวยาวๆ ไปยังยอดเขา
เด็กหนุ่มชุดขาวรีบตามติดไปด้านหลังเขา ถามอย่างแปลกใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ชายฉกรรจ์ทิ้งประโยคหนึ่งมาให้ “ไปมองหาวังหลวงต้าสุยที่บนยอดเขา แล้วไปเยือนที่นั่นก่อนสักรอบ กลับมาค่อยถือโอกาสจัดการกับเจ้าไช่จิงเสินผู้นั้น”
ประโยคนี้พูดเหมือนกับว่า…ข้าจะไปเข้าห้องน้ำก่อน กลับออกมาแล้วค่อยล้างมือ?
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!