บุรุษจิบเหล้าอึกเล็กๆ เปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียว “สะพานแห่งความเป็นอมตะของคุณชายหักไปแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก คิดจะซ่อมแซมก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่สู้เปลี่ยนวิธีใหม่ สร้างใหม่ไป…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษร้องเอ๊ะหนึ่งทีคล้ายตกตะลึง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนปรายตามองตำราที่อยู่บนขาของเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ช่างเถอะ นี่มันจุดไต้ตำตอชัดๆ”
บุรุษลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินออกไปนอกถ้ำ จากไปทั้งอย่างนี้ ส่วนสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังได้เดินนำออกไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบนานแล้ว
บุรุษหันหน้าไปมองตุ๊กตาหิมะบนทางเดินเลียบหน้าผา คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จุดไต้ตำตอจริงๆ”
ท่ามกลางหิมะและลมหนาว ชายหญิงออกเดินทางต่ออีกครั้ง สตรีสวมชุดชาววังไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม “นายท่านป๋าย หรือการพบกันครั้งนี้จะเป็นแผนการร้ายของอริยะสองฝ่าย?”
บุรุษส่ายหน้า “การเดินทางไกลเพื่อผ่อนคลายจิตใจครั้งนี้ ข้าไร้ปรารถนาไร้ความต้องการ และข้าก็อำพรางร่องรอยของตัวเองอย่างระมัดระวังมากแล้ว ไม่คิดจะสร้างความแตกตื่นให้แก่กองกำลังฝ่ายใด หากถึงขนาดนี้แล้วยังจะเล่นงานข้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็…”
แววตาใบหน้าใต้ผ้าคลุมของสตรีสวมชุดชาววังฉายประกายร้อนแรง
คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะถอนหายใจ “ก็จะทำอะไรได้ล่ะ”
หิมะตกหนัก
ทั่วฟ้าดินมองเห็นแต่สีขาวโพลน เอี่ยมสะอาดตา
หลังจากเดินไปบนสะพานเลียบหน้าผาได้ประมาณสามสี่ลี้ บุรุษที่ถูกเรียกว่านายท่านป๋ายก็หยุดเท้า แหงนหน้ามองม่านฟ้า สีหน้าเปลี่ยวเหงา
สตรีสวมชุดชาววังได้แต่หยุดเดินตามไปด้วย เมื่อค้นพบว่าไม่มีวี่แววที่บุรุษจะขยับเท้าก้าวเดินต่อจึงเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่านป๋าย?”
สายตาของบุรุษจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าตลอดเวลา พูดเสียงแผ่วเบา “ต้นไม้อยากหยุดนิ่ง แต่ลมไม่หยุดพัด เจ้าว่าทั้งที่เจ้าเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาลตั้งแต่เด็ก เหตุใดถึงเอาแต่คิดจะไปเยือนภูเขาห้อยหัวให้ได้? หากเป็นเพราะคิดถึงบ้านเกิด อยากจะตั้งรกรากมั่นคง ก็สมเหตุสมผลดีอยู่ แต่รกรากของเจ้าอยู่ที่นี่นี่นา แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? หายนะที่เกิดขึ้นใต้หล้า สิบตระกูลวอดวายไปเสียเก้าตระกูล มันสนุกมากนักหรือ?”
สตรีชุดชาววังตกใจขวัญผวา รีบหมุนตัวกลับมาคุกเข่าลงกับพื้น หมอบตัวลงต่ำไม่กล้าเงยหน้าขึ้น หากหลุบมองจากมุมสูง เรือนกายอรชรเย้ายวนของนางคล้ายเทือกเขาที่เว้าลงนูนขึ้นอย่างน่ามอง นางเอ่ยเสียงสั่น “นายท่านป๋ายโปรดไว้ชีวิต!”
บุรุษทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป “ข้ารู้สึกว่าไม่สนุก ไม่น่าสนใจเลยสักนิดเดียว”
สตรีสวมชุดชาววังหวาดกลัวสุดขีด นางกัดฟัน พริบตาเดียวก็ระเบิดลมปราณที่มากพอจะย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทรออกมา
นาทีถัดมา บนทางเดินเลียบหน้าผาก็มีจิ้งจอกแปดหางตัวใหญ่มหึมาเท่าขุนเขาปรากฏขึ้น ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีขาวกระจ่าง กำลังไต่อยู่บนหน้าผา พยายามอย่างบ้าคลั่งหวังจะปีนไปให้ถึงยอดเขา ออกห่างจากชายผู้นี้ให้ได้ไกลที่สุด
บุรุษไม่สะทกสะท้าน เพียงเรียกชื่อหนึ่งออกมาเบาๆ “ชิงอิง”
เสียงปังดังสนั่น เลือดสดกลุ่มหนึ่งสาดกราวลงมาจากหน้าผาดุจฝนเทกระหน่ำ เป็นหางข้างหนึ่งของจิ้งจอกตัวนั้นที่ระเบิดคาที่
หิมะเกล็ดใหญ่เท่าขนห่านจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเลือดสดอาบย้อม ฟ้าดินบริเวณรอบๆ ทางเดินที่บุรุษยืนอยู่กลายมาเป็นหิมะแดงฉานน่าสยดสยอง
เล่าลือกันว่าในอดีตเคยมีปีศาจมากเกินจะคำนวณก่อกวนอยู่ในใต้หล้าแห่งต่างๆ ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นไม่ขาดสาย มนุษย์ธรรมดาไร้ปัญญาจะรับมือ เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วทุกหนแห่ง ภายหลังมีอริยะผู้มากคุณธรรมหลอมระฆังใบใหญ่เพื่อสลักชื่อแซ่และนามของหมื่นปีศาจ บันทึกประวัติความเป็นมาของพวกมัน ต่อมาก็สั่งให้คนสร้างระฆังใหญ่เลียนแบบระฆังใบนี้อีกพันใบ นำไปวางไว้บนยอดเขาใหญ่แห่งต่างๆ ทั่วทุกทวีป เพื่อให้คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาท่องจำเอาไว้ ชาวบ้านร้านตลาดยอมเสี่ยงอันตรายขึ้นเขา อาศัยการฝึกประสบการณ์นี้สร้างการเริ่มต้นครั้งใหม่ให้แก่นักพรตบนภูเขา
ภูเขาใหญ่ๆ เหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นห้าขุนเขาของแต่ละแคว้นในกาลหลัง ได้รับการเคารพกราบไหว้จากกษัตริย์ในโลกมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน
วัตถุขนาดมหึมาบนหน้าผานั้นเหมือนดาวตกที่ร่วงดิ่งเข้ามาในหน้าผา
เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายดายเพียงแค่หางข้างหนึ่งขาดและตบะได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
ด้วยนิสัยดุร้ายที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดของปีศาจ ยามที่ใกล้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส ความอำมหิตที่ระเบิดออกมามักจะน่ากลัวมากกว่าเสมอ
ความลี้ลับทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่คำเรียกว่า “ชิงอิง” รวมถึงข้อที่ว่าใครเป็นคนเอ่ยชื่อนี้
ร่างของปีศาจจิ้งจอกที่ร่วงกระแทกลงไปยังก้นหน้าผาอย่างแรงทำให้เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนปลิวกระจายว่อน มองดูแล้วมันร่อแร่เต็มที่ ลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นควันสีเลือด เป็นเหตุให้หิมะที่ทับถมอยู่รอบด้านถูกหลอมละลายกลายเป็นความว่างเปล่า เผยให้เห็นพื้นดินแถบหนึ่งคล้ายแผลเป็นขนาดใหญ่
ไม่รู้ว่าบุรุษมายืนอยู่ตรงหน้าปีศาจจิ้งจอกตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากระดกน้ำเต้าสีชาดขึ้นดื่มเหล้าที่อยู่ด้านใน เมื่อเทียบกับปีศาจจิ้งจอกร่างมหึมาที่ขดตัวเป็นก้อนกลมแล้ว เขาเล็กจ้อยกระจิดริด ไม่ต่างจากมดตัวน้อยที่ยืนอยู่หน้ามนุษย์
“ก่อนหน้าที่จะฝึกตนจนหางที่แปดงอกออกมาใหม่อีกครั้งก็จงอยู่ข้างกายข้าเสียแต่โดยดี เรื่องบางเรื่องยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!