บทที่ 176.1 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 176.1 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามขึ้นเบาๆ “นายท่านกำลังคิดถึงใครกัน?”
เด็กชายชุดเขียวตอบน้ำเสียงเกียจคร้าน “อากาศบ้าๆ แบบนี้ นายท่านอาจจะอยากหาสถานที่ที่งดงามไปนั่งอึก็ได้ อย่างน้อยก้นก็ต้องไม่เย็น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโมโห “น่าเกลียด!”
เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจ “คำพูดตรงไปตรงมามักระคายหูเสมอแหละน่า”
……
ปีนี้แคว้นหนันเจี้ยนที่นิยมสายนักพรตและกวีผู้ลือนามครึกครื้นมากเป็นพิเศษ งานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่งานหนึ่งเพิ่งจะปิดม่านลงไป
ชายแดนแคว้นหนันเจี้ยน บนทางเล็กเงียบสงัดกลางป่าด้านหลังขุนเขาแห่งหนึ่งที่สูงทะลุเมฆ มีแม่ชีสาวผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ในมือถือกิ่งไผ่สีเขียวขจี นิ้วมือบิดหมุนมันเล่นเบาๆ ด้านหลังของนางมีกวางขาวที่ฉลาดเฉลียวมากเป็นพิเศษติดตามมา
บุรุษสวมชุดขาวพกกระบี่ยาวหนึ่งเล่มเดินเคียงไหล่มากับนางด้วยสีหน้าเซื่องซึม
นางกล่าวอย่างจนใจ “เคยบอกกับเจ้ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ามีตบะแค่ห้าขอบเขตล่าง ข้าถึงได้ไม่ชอบเจ้า และต่อให้เจ้ามีตบะห้าขอบเขตบนแล้วก็ใช่ว่าข้าจะต้องชอบเจ้าเสมอไป เว่ยจิ้น ข้าบอกกับเจ้าเลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้จริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมตัดใจนะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมตัดใจ?”
สามารถทำให้แม่ชีที่ทุ่มเทมานะในการฝึกตนเอ่ยถ้อยคำเปิดเปลือยตรงไปตรงมาขนาดนี้ได้ ดูท่าชายผู้นั้นคงตามตื๊อนางอย่างหนักจนนางเริ่มรำคาญแล้วจริงๆ
ฝ่ายบุรุษก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์แห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ เว่ยจิ้น
คำว่าผู้มีพรสวรรค์ในบรรดาผู้ฝึกตนบนภูเขา อันที่จริงก็มีการแบ่งลำดับชั้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดที่ยังหนุ่มขนาดนี้ เว่ยจิ้นถือเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างสมศักดิ์ศรี การฝ่าทะลุขอบเขตรวดเร็วเหนือคนรุ่นเดียวกัน
สีหน้าเว่ยจิ้นเหงาหงอย ไหนเลยจะยังมีมาดเหมือนบุคลคลผู้โด่งดังที่เพิ่งข้ามธรณีประตูของขอบเขตสิบเอ็ดไปได้อีก เขายิ้มขมขื่น “เป็นเพราะเจ้ามีคนที่ชอบแล้วอย่างนั้นหรือ? ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์อาในสำนักของเจ้าคนนั้น?”
แม่ชีสาวหยุดเดิน หันกลับมามองผู้ฝึกกระบี่สวมลมฟ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป โกรธจนกลายเป็นขำ “เว่ยจิ้น ทำไมเจ้าถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้!”
แม้ว่าสีหน้าของเว่ยจิ้นจะไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายหรือรั้งอีกฝ่ายเอาไว้อย่างไร จึงได้แต่เงียบงันไปชั่วขณะ ต่อให้เป็นเว่ยจิ้นที่อยู่ในอารมณ์หมดอาลัยตายอยาก อาภรณ์ยับย่น ทว่าในสายตาของคนนอก ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงไหนด้วยท่าทางอย่างไร เขาก็ยังคงเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่ทรงพลังที่สุดในใต้หล้า
น่าเสียดายที่คนนอกในที่นี้ ไม่ได้รวมถึงแม่ชีสาวเบื้องหน้าเว่ยจิ้นไว้ด้วย
จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่างดุจกระจก แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเชี่ยวชาญช่ำชองเรื่องทางโลก โดยเฉพาะเรื่องของความรักที่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุดในใต้หล้าอยู่แล้ว ซึ่งยิ่งทำให้คนหงุดหงิดจิตตกได้ง่าย
เว่ยจิ้นเอ่ยเบาๆ “เฮ้อเสี่ยวเหลียง สุดท้ายนี้ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามเดียว”
นางพยักหน้ารับ “เจ้าถามมาได้เลย”
เว่ยจิ้นลังเลไปชั่วขณะ หันสายตามองไปยังทิศทางอื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องบุพเพวาสนามากที่สุด ถ้าอย่างนั้นหากมีวันหนึ่งที่เจ้าได้พบเจอกับคนที่มีวาสนาต่อเจ้า ต่อให้ในใจเจ้าไม่ชอบเขา เจ้าจะเลือกเขาเป็นคู่บำเพ็ญตนเพื่อมหามรรคาหรือไม่?”
รอบด้านเงียบสงัด
ราวกับว่าแม้แต่ลมเย็นพลิ้วเป็นระลอกที่มองไม่เห็นก็ยังหยุดนิ่งในนาทีนี้
แม่ชีสาวยิ้มบาง “เลือก”
แววตาของเว่ยจิ้นหม่นแสงลงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ยังคงไม่มองสตรีที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ “ต่อให้เจ้ากับเขาจะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนในสายตาของคนทั้งโลก แต่ตัวเจ้าเองไม่มีความสุขน่ะหรือ เฮ้อเสี่ยวเหลียง บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าไม่มีความสุข”
แม่ชีสาวถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะเผยความเสียใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับยืนหยัดในจิตแห่งการฝึกตนอย่างมั่นคงดุจหินผา “เว่ยจิ้น ต่อให้มีวันนั้นจริงๆ ต่อให้ข้ามีชีวิตไม่สมดังใจปรารถนา แต่ข้าไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด ยิ่งไม่หันกลับมาชอบเจ้าเว่ยจิ้น”
เว่ยจิ้นพึมพำ “แบบนี้เองหรือ?”
แม่ชีสาวหันตัวกลับแล้วเดินจากไป
เว่ยจิ้นยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน นางไม่เสียใจ แต่เขากลับเสียใจภายหลังแล้ว เสียใจที่ไม่ควรถามคำถามโง่ๆ ที่ทำร้ายทั้งคนอื่นและตัวเองคำถามนี้
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากจุดลึกของผืนป่า ข้างกายมีปลายักษ์สองหาง หางข้างหนึ่งสีเขียว ข้างหนึ่งสีแดงแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ
เว่ยจิ้นดึงสายตากลับ หลังจากแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินจากไปนานแล้วเขาถึงกล้าจ้องนิ่งไปยังแผ่นหลังที่ออกห่างไปไกลทุกขณะของนาง
เขาไม่หันไปมองกุมารทองซึ่งเป็นคู่กุมารีหยกรุ่นนี้ของบุรพแจกันสมบัติทวีป เพียงกล่าวเสียงเย็น “หากเจ้ากล้าพูดแม้แต่คำเดียว ข้าก็กล้าชักกระบี่ฆ่าคน”
แม้ว่านักพรตหนุ่มจะกริ่งเกรงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดผู้นี้อยู่บ้าง แต่ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่หลังภูเขาของสำนักตน เขาเชื่อว่าหากพูดไม่เข้าหู เว่ยจิ้นต้องกล้าชักกระบี่ฆ่าคน เพียงแต่นักพรตหนุ่มไม่เชื่อว่าตนจะตายจริงๆ เขาจึงหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดของศาลลมหิมะกล้ามากระทำการรุนแรงในสำนักโองการเทพของพวกเรางั้นรึ?”
คำว่าสำนักคำนี้ นักพรตหนุ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงเน้นย้ำอยู่หลายส่วน
สามสำนักของลัทธิเต๋าในแจกันสมบัติทวีปยกย่องสำนักโองการเทพแห่งแคว้นหนันเจี้ยนเป็นอันดับหนึ่ง เป็นก้านธูปหลักใจกลางระบบเต๋าของหนึ่งทวีป ครั้งก่อนเขาจับมือกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงลงจากภูเขาไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูของราชสำนักต้าหลี ต้องเดินขึ้นเหนือไปตลอดทาง ทุกที่ที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือเจินจวินของแคว้นต่างๆ เทพเซียนพสุธา ฯลฯ ต่างก็ปฏิบัติต่อคู่กุมารทองกุมารีหยกเช่นเขาและเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่างมีมารยาท ไม่กล้าเพิกเฉยใส่แม้แต่น้อย
สำนักโองการเทพตั้งอยู่ริมชายแดนของแคว้นหนันเจี้ยน ยึดครองพื้นที่มงคลบ่อกระจ่างซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลเพียงผู้เดียว ฉีเจินเจ้าสำนักควบตำแหน่งเจินจวินของสี่แคว้น มีคาถาอาคมเลิศล้ำค้ำฟ้า คือเทพเซียนแท้จริงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในบุรพแจกันสมบัติทวีป แม้ว่าสำนักโองการเทพจะเป็นสำนักล่างของระบบเต๋าในสายพวกเขา แต่ต่อให้ฉีเจินเดินทางไปยังสำนักดั้งเดิมของระบบเต๋าที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
และกุมารทองผู้นี้ก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของฉีเจินเจ้าสำนักพอดี
นักพรตหนุ่มที่มีปลาใหญ่สองหางแหวกว่ายอยู่ข้างกายพูดขัดเขิน “อาจารย์อา ข้ารู้ตัวว่าผิดจริงๆ และจะต้องปรับปรุงตัวแน่นอน”
อันที่จริงนักพรตที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อาอายุไม่มาก มองดูแล้วยังไม่ถึงสามสิบปี เขายิ้มบางๆ “หากเจ้าไม่เต็มใจปรับปรุงตัว อาจารย์อาก็จนปัญญา ใครใช้ให้อาจารย์ของเจ้าคือศิษย์พี่เจ้าสำนักของข้าเล่า”
กุมารทองผู้นั้นรู้สึกหัวโตโดยพลัน เขากลัวเวลาอาจารย์อาพูดจาด้วยท่าทางแบบนี้มากที่สุด และในความเป็นจริงแล้วต่อให้ฉีเจินเจ้าสำนักมาเอง เกรงว่าก็คงรู้สึกเสียวสันหลังไม่ต่างกัน
เขาจึงรีบทำหน้าม่อย “อาจารย์อา ข้าจะกลับไปคัดบทชิงสือลวี่จาง (ถ้อยคำที่ใช้รายงานต่อสวรรค์เมื่อลัทธิเต๋าจัดการกินเจ) หนึ่งบท”
นักพรตเต๋าพยักหน้ารับ “คัด ‘บทฝานลู่’ ก็ได้ อีกสามวันนำมามอบให้ข้า”
กุมารทองก้าวเร็วๆ จากไปอย่างน่าสงสาร ท่าทางนั้นราวกับจะบอกว่าต้องเป็นสามวันสามคืนถึงจะถูก ชีวิตข้าช่างขื่นขมยิ่งนัก
นักพรตเต๋าก้าวออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาโผล่อยู่ตรงริมบ่อดอกบัว ยืนอยู่ข้างกายแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียง ถามตรงไปตรงมา “บนมหามรรคา ขนบธรรมเนียมประเพณีมักจะมาคู่กันอารมณ์ความรู้สึกเสมอ จะอย่างไรซะที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยื่นมือไปตบสันหลังที่อ่อนนุ่มของกวางขาวเบาๆ พลางพยักหน้ารับ “อาจารย์อา ข้าคิดดีแล้ว”
แม่ชีสาวสีหน้าหม่นหมอง
นักพรตมองไปยังใบบัวสีเขียวสดเป็นพุ่มหนาในบ่อ ในช่วงฤดูหนาวเยียบเย็น ความเหน็บหนาวกัดกินใบบัวนับไม่ถ้วนนอกภูเขาไปนานแล้ว แต่ใบบัวของที่นี่กลับยังชูช่อตระหง่านประหนึ่งอยู่ในช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “หากต้องไปถึงก้าวนั้นจริงๆ อาจารย์อาจะอยู่ข้างกายเจ้า”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก กลับยังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “มหามรรคาช่างไร้ความรู้สึก”
นักพรตอืมรับหนึ่งที “เป็นเช่นนี้จริง เจ้าคิดได้แบบนี้ ถือว่าดีต่อการฝึกตน”
การที่เขาเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง ฝั่งตรงข้ามกับเซวียนฝูเจินเหรินศิษย์พี่ของเขา ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงน่าสงสาร แต่เป็นเพราะมหามรรคาที่เขายืนอยู่เป็นเส้นทางเดียวกับมหามรรคาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงพอดี หากมีวันใดอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้สลับตำแหน่งกัน เขาก็จะยังเลือกทำแบบเดิม
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเลิกคิดสะระตะ ถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์อา เจ้าคนที่พวกเราเรียกล้อเลียนว่าอาจารย์อาน้อยลู่ผู้นั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ายไหนกันแน่? เขาอยู่ในแถบชายแดนแคว้นหนันเจี้ยนมาเกือบหนึ่งปีแล้วนะ”
นักพรตส่ายหน้า “ข้าเดารากฐานของคนผู้นั้นไม่ออก ในเมื่อเขาเต็มใจจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่ แถมข้ายังเล่นหมากล้อมแพ้เขา ก็ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ข้าแค่พอจะรู้ว่าเขาคือเงื่อนตายในสถานการณ์อันเป็นทางตันของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี วิธีการของฉีจิ้งชุนอยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน ทำให้ถึงท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ นอกจากนี้เขายังมีความเกี่ยวข้องกับสำนักดั้งเดิมที่อยู่เบื้องบนสำนักโองการเทพ แค่นี้เท่านั้น นอกจากนี้ข้าก็คาดการณ์อะไรไม่ได้อีกแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ ต่อให้เป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังอดขนพองสยองเกล้าไม่ได้
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!