ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ยอดฝีมือยิ่งใหญ่ถึงปานนั้น เหตุใดข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงไม่เดินไปดูที่ตรงนั้นเพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง?
นักพรตยิ้มบาง “ไม่ต้องคิดมากถึงขนาดนั้น น้ำลดหินย่อมผุดขึ้นมาเอง”
หลังจากนั้นนักพรตที่ถือว่ามีลำดับสูงอย่างถึงที่สุดในทวีปแห่งหนึ่งก็ออกเดินเชื่องช้า ใช้ความคิดอย่างสบายอุราอยู่ริมบ่อบัว
นักพรตครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุดในโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นทำไมฝนถึงตก ทำไมมนุษย์ถึงเป็นสัตว์ประเสริฐ ทำไมถึงมีข้างขึ้นข้างแรม ทำไมถึงมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เป็นต้น การที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายซึ่งทุกคนเคยชินคิดว่าเป็นเรื่องปกติเหล่านี้ก็เพราะว่าหากเจ้าคุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่น จะคุยไม่ได้นาน
เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองตามไปไกลๆ ถอนหายใจให้กับตัวเองที่สู้ไม่ได้
ไม่เกี่ยวกับความต่างด้านขอบเขต ไม่เกี่ยวกับความต่างของวัยวุฒิ
แต่อยู่ที่ว่าอาจารย์อาน้อยซึ่งยังหนุ่มแน่นผู้นั้นเดินไปบนมหามรรคาได้ไกลมากจนคนอื่นยากจะมองเห็นแผ่นหลังของเขา ดังนั้นจึงเกิดความละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้
…….
ซื้อเหล้ากาหนึ่งจากร้านขายสุราข้างทาง เว่ยจิ้นเทเหล้าส่วนหนึ่งลงในฝ่ามือ ลาขาวตัวนั้นก้มดื่มอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ชาวบ้านของที่นี่ได้พบเห็นโลกกว้างมามาก อย่าว่าแต่ลาดื่มเหล้าเลย ต่อให้ลาตัวนั้นพูดได้ พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
เว่ยจิ้นดึงมือกลับแล้วเริ่มดื่มเหล้าของตัวเอง เดินออกมาจากร้านเหล้าแล้วเขาก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เจ้าลาเดินเอื่อยๆ ตามมาด้านหลัง
พอเดินออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของสำนักโองการเทพ เว่ยจิ้นที่เห็นตัวเองเป็นคนในยุทธภพมาโดยตลอดก็ยังไม่ยอมขี่กระบี่บิน เขาดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย ปีนขึ้นไปนั่งโงนเงนอยู่บนหลังลา ปล่อยให้มันพาตนเดินไปตามใจชอบ
ภูเขาแม่น้ำสลับหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้ายมาถึงเฟิงหยางเมืองหลวงของแคว้นหนันเจี้ยน เว่ยจิ้นเองก็เหมือนคนทั่วไปก็ต้องส่งมอบหนังสือเดินทางหน้าประตูเมืองก่อน แล้วถึงได้เดินจูงลาเข้าไปในตัวเมือง
เว่ยจิ้นที่ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราพยายามย้อนคิด จำได้ว่าตนมีเพื่อนในยุทธภพที่ถูกคอคนหนึ่งอยู่ในเมืองเฟิงหยาง เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนเคยเป็นสหายร่วมเดินทางกัน ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเคยบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของประมุขพรรคขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเฟิงหยาง เว่ยจิ้นจึงถามทางไปยังพรรคที่มีชื่อว่าจ้าววายุ เว่ยจิ้นจำได้ว่าคนผู้นั้นเคยพูดเสียดสีตัวเอง บอกว่าบรรพบุรุษของเขาช่างไม่มีความรู้ ถึงได้ไม่พิถีพิถันในตั้งชื่อพรรคเอาเสียเลย เว่ยจิ้นจึงปลอบใจเขาไปว่า ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก สืบทอดกันมานับพันปี รากฐานลึกล้ำ เป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่ง กองกำลังเทียบเคียงได้กับหนึ่งแคว้น แต่กลับถูกบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรคตั้งชื่อว่าหมัดเทพไร้เทียมทาน นั่นต่างหากถึงเรียกว่าน่าสงสาร ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง เทพเซียนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เหล่าลูกศิษย์ในพรรคต่างก็ขายหน้าจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
เว่ยจิ้นเดินไปข้างหน้าช้าๆ ข้างทางมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่ง เพราะกิจการซบเซา นักพรตหนุ่มสวมชุดเต๋าครอบกวานเต๋าจึงกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยสั่งสอนเด็กขี้มูกยืดที่ถือถังหูลู่ในมือคนหนึ่งไปด้วย “โลกใบนี้เฮงซวยอย่างมาก แต่เจ้าก็ไม่ควรมองว่าคนดีที่มีน้ำใจ ยินยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนอื่นเป็นคนโง่เพียงเพราะสาเหตุนี้”
นักพรตเต๋าเพิ่มน้ำหนักเสียง “อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นคนโง่ รู้หรือไม่?”
เด็กชายสีหน้าไร้อารมณ์สูดน้ำมูก น้ำมูกที่เหมือนมังกรเขียวสองตัวออกจากถ้ำจึงหดกลับเข้าไปในถ้ำเกินครึ่งตัว จากนั้นเขาก็เลียถังหูลู่หนึ่งที
นักพรตเริ่มร้อนใจ “พูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ มัวกินถังหูลู่อะไรอยู่”
เด็กชายยังคงไม่สะทกสะท้าน เอียงศีรษะกินถังหูลู่ของตัวเองต่อไป
นักพรตหนุ่มเอ่ยด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดี “เฮ้อ เจ้าลูกหมาคนนี้นี่นะ ไม่มีสติปัญญาบ้างเสียเลย นักพรตผู้ต่ำต้อยอุตส่าห์พยากรณ์ให้เจ้าด้วยความหวังดี คำทำนายก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าเกิดมาเป็นคู่สร้างคู่สมกับแม่นางน้อยข้างบ้าน นักพรตผู้ต่ำต้อยไม่เก็บเงินเจ้า นี่ยังไม่ถือว่ามีคุณธรรมอีกหรือ? ทำไมเจ้าไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณเสียบ้าง? แค่ถังหูลู่ไม้เดียวเท่านั้น จะมีค่าสักกี่อีแปะกันเชียว? เมียในอนาคตยังสู้ไม่ได้เลยหรือ?”
จู่ๆ เด็กชายที่ทำหน้าทึ่มทื่อมาตลอดเวลากลับหัวเราะคิกๆ “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง”
จากนั้นเด็กชายก็หมุนตัวกลับแล้วกระโดดเด้งซ้ายเด้งขวาจากไป ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “กินถังหูลู่อร่อยจังเลย”
นักพรตหนุ่มตบโต๊ะอารมณ์เสีย “โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใจคนก็ไม่บริสุทธิ์ดังเดิม!”
เว่ยจิ้นเดินยิ้มผ่านไป แล้วทันใดนั้นเขาก็พลันหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมา ย้อนนึกถึงเครื่องแต่งกายของนักพรตหมอดูคนนั้นรอบหนึ่งแล้วเว่ยจิ้นก็เกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้
ทว่านักพรตผู้นั้นกลับเปิดปากพูดยิ้มๆ ขึ้นมาเสียก่อน “ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไยไม่มาพบหน้ากันเล่า?”
เว่ยจิ้นจูงลาเดินจากไป
นักพรตหนุ่มพูดน่าสงสาร “ชีวิตลำบากยากแค้น เหตุใดคนของแคว้นหนันเจี้ยนถึงได้แปลกประหลาดกันอย่างนี้? ประเพณีนิยมก็ไม่บริสุทธิ์เรียบง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว!”
เขานั่งกลับลงไปบนม้านั่งอย่างขุ่นเคือง อาบแดดเฝ้ากระบอกเซียมซีบนโต๊ะ มือทั้งคู่ซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย โยกลำคอไปข้างหน้าทีข้างหลังทีจนกวานบนศีรษะไหวโยนตามไปด้วย พึมพำกับตัวเองเบาๆ “น่าเบื่อ น่าเบื่อจริงๆ”
มีสตรีสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปลุกความกล้าให้ตัวเองได้แล้วก็ถามว่า “ท่านนักพรต ช่วยทำนายดวงเนื้อคู่ได้หรือไม่?”
นักพรตหนุ่มรีบนั่งตัวตรง “ย่อมได้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เซียมซีดีไม่รับเงิน!”
เด็กสาวที่งดงามด้วยวัยสาวอึ้งตะลึง จากนั้นก็หันตัวเดินกลับหลัง ในใจคิดว่านี่มันหลอกลวงกันชัดๆ ไม่ใช่หรือ ต้องเป็นพวกนักต้มตุ๋นหน้าไม่อายในยุทธภพแน่นอน คิดแล้วก็คงจะใช่ นักพรตของแคว้นหนันเจี้ยนเรา ไหนเลยจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ ตนไม่ควรเห็นแก่ของถูก เรื่องแต่งงานสำคัญอย่างมาก ควรจะไปหานักพรตดูดวงที่แท้จริงที่ตรอกผิงเฟิงจะดีกว่า ราคาอาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็คงดีกว่าถูกหลอก จากนั้นนางก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะอันที่จริงนักต้มตุ๋นคนนั้นหล่อมากเลยทีเดียว ทำไมถึงเป็นคนไม่ดีไปได้นะ?
นักพรตหนุ่มใช้สองมือขยี้ใบหน้าแรงๆ พูดเสียงห่อเหี่ยว “ชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว คนเราเมื่อแก่โทรม โชควาสนาก็ถดถอย ต่อให้ในอดีตเคยเป็นวีรบุรุษก็ยังไม่อาจได้ทุกอย่างสมใจปรารถนา กรรมตามสนองนั้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย”
สุดท้ายนักพรตหนุ่มถอนหายใจ “วิญญูชนที่ดีสามารถใช้เหตุผลที่เหมาะสมมาหลอกลวงคนอื่น ในเมื่อเจ้าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยย่อมไม่รังแกกันมากเกินไป”
บ่นไปก็เก็บแผงไปด้วย นักพรตหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับงานในมือพูดกับตัวเองในใจ “ภูเขาสูงแม่น้ำไหลยาว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไว้พบกันใหม่?”
เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธความคิดนี้ “ยาก”
……
ชายแดนทางทิศใต้ของต้าหลี ลมหิมะพัดหวีดหวิว หนึ่งเด็กโตสองเด็กเล็กเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างยากลำบาก เพื่อประคองให้การเดินนิ่งสำเร็จในรวดเดียว การหายใจของเขาจึงยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่หายใจเหมือนมีมีดจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด จนสีหน้าของเฉินผิงอันเขียวคล้ำทุกขณะ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่แบกหีบหนังสือใบใหญ่เอ่ยถาม “นายท่าน ระวังจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามนะ ในตำราบอกว่ายิ่งเร่งรีบยิ่งช้า วันนี้นายท่านใช้เวลาเดินนิ่งนานกว่าปกติมากแล้ว”
เฉินผิงอันแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร หาไม่แล้วลมปราณที่เก็บสะสมมาเฮือกนั้นจะสลายหายไปสิ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!