ลมโชยมาพร้อมหิมะขาวโพลน สองฝ่ายยืนคุมเชิงกัน
เดิมทีคนส่วนใหญ่ในหน่วยลาดตระเวนสืบความลับของชายแดนต้าหลีกลุ่มนั้นหันหัวม้ากลับเงียบๆ ไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับมีม้าตัวหนึ่งฝ่าออกมาจากกลุ่ม ควบตะบึงมาหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน ผู้ขี่คือคนหนุ่มที่มีใบหน้ามุ่งมั่น เปี่ยมไปด้วยการระแวงภัยและสำรวจตรวจตรา ในจุดลึกของดวงตาทหารลาดตระเวนชายแดนต้าหลีผู้นี้ยังมีความเฉียบขาดที่ในเวลานั้นเฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจอยู่ด้วย
เมื่อม้าตัวนี้พุ่งออกมา สหายคนอื่นของเขาก็กัดฟันตามมาด้วย ม้าหลายตัวที่ควบเข้ามาทำให้เกล็ดหิมะปลิวว่อนไปสี่ทิศ ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้า
เฉินผิงอันตะโกนด้วยภาษาทางการของต้าหลี “พวกเราคือคนของอำเภอหลงเฉวียน เพิ่งกลับมาจากแคว้นหวงถิง เข้าด่านมาจากทางหนิวจ้าหลัน”
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ควักเอกสารผ่านด่านซึ่งที่ว่าการอำเภอต้าหลีเป็นผู้ออกให้ออกมาจากสาบเสื้อหน้าอก เดินทางนับพันนับหมื่นลี้ไปขอศึกษาต่อ บนเอกสารเต็มไปด้วยตราประทับของด่าน พื้นที่และแคว้นต่างๆ เมื่อเห็นว่านายทหารผู้นั้นจะพลิกตัวลงจากหลังม้า เฉินผิงอันก็ก้าวยาวๆ วิ่งเหยาะๆ ขึ้นหน้าไป ชูมือสูงส่งเอกสารให้ ร่างของทหารคนนั้นยิ่งขึงเกร็ง ม่านตาของคนทั้งกลุ่มหดตัวเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ทหารลาดตระเวนผู้นั้นค้อมตัวลงมารับเอกสารผ่านด่าน หลังอ่านอย่างละเอียดแล้วก็พลันยิ้มกว้าง มือข้างที่เดิมทีกำด้ามกาบไว้แน่นแอบยื่นไปด้านหลังแล้วทำมือให้คนทั้งกลุ่มรู้ว่าสถานการณ์ปลอดภัย นายทหารยังคงยืนกรานจะลงจากหลังม้า ยื่นเอกสารส่งคืน เฉินผิงอันรับเอามาอย่างระมัดระวัง นายทหารหนุ่มจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อากาศย่ำแย่ขนาดนี้ หากเจอปัญหาสามารถไปขอพักที่หอส่งสัญญาณไฟของพวกเราได้ ที่นั่นมีอาหารพร้อมสรรพ รอให้หิมะเบาลงค่อยเดินทางต่อก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนายทหารจึงรีบกุมมือคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าจะได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกวิชาหมัดพอดี อาจจะยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังพอทนได้”
ต้าหลีนิยมนักสู้ ประเพณีนิยมความดุดันกล้าหาญ สร้างชื่อเสียงระบือไปทั่วทวีป
การที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนหยัดขนาดนี้ทำให้เหล่าทหารลาดตระเวนรู้สึกดีต่อเขาได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นหัวหน้าอาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าหยาบกระด้างเรียบง่าย ปกติไม่ชอบยิ้มแย้มก็ยังอดคลี่ยิ้มอย่างชอบใจไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากัน ณ ตรงนั้น ทหารลาดตระเวนลงใต้ไปสำรวจตรวจตราตามหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือกลับบ้านเกิด
หัวหน้ากองทหารม้าหันกลับมามองแผ่นหลังของคนทั้งสามที่เดินทางขึ้นเหนือ หุบยิ้มแล้วหันหน้ามาตวาดสั่งสอนนายทหารคนนั้น “ทำตัวเป็นวีรบุรุษอะไรของเจ้า ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไง?! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีตื้นลึกหนาบางอย่างไร ลำพังสาวใช้ชายหญิงสองคนที่สวมเสื้อผ้าบางๆ ข้างกายเขาก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีตบะไม่ธรรมดา หาไม่แล้วจะทนรับความทรมานจากอากาศแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ก็เห็นสีหน้าสดชื่นของพวกเขาในระยะประชิดแล้ว เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ?
หากคนทั้งสามเป็นสายลับของแคว้นศัตรูจริงๆ เจ้าวู่วามบุกขึ้นหน้าไปถามไถ่เหมือนครานี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเราตายกันหมด แม้แต่การส่งข่าวรายงานก็ยังต้องถูกถ่วงให้ล่าช้าด้วย!”
นายทหารหนุ่มตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “หัวหน้า พวกเราเป็นหน่วยสืบความลับระดับสองของชายแดน และนี่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มาจากไหนก็ต้องทำตามกฎของกองทัพชายแดนพวกเราไม่ใช่หรือ? หากกล้าสังหารพวกเราจริงๆ เมื่อมีการตรวจสอบหลังจบเรื่อง พวกเขาก็มีแต่เสียกับเสีย หรือต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว ไม่ใช่ว่ายังมีท่านอ๋องอยู่หรอกหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครมีความสามารถมากพอจะงัดข้อกับท่านอ๋องได้”
หัวหน้าอาวุโสที่อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิตโมโหจัดจึงฟาดแส้ออกไป แต่ตีโดนความว่างเปล่าเหนือไหล่ของนายทหารหนุ่ม เสียงเบากว่าฟ้าผ่ายามฝนตกกระหน่ำหน่อยเดียวเท่านั้น เขาโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพ การกระทำเช่นนี้ของเจ้าเท่ากับท้าทายนายท่านผู้ฝึกลมปราณแล้ว รู้หรือไม่? ทำไมถึงไม่ยอมรับรู้เลยว่า ถ้าเจอกับแม่ทัพที่มีคุณธรรม อย่างมากเขาก็แค่ช่วยทวงเงินบำรุงขวัญให้เจ้าแค่ไม่กี่สิบตำลึง แต่หากไม่ใช่ผู้มีคุณธรรม เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย!”
สามารถกลายมาเป็นทหารหน่วยลาดตระเวนสืบความลับศัตรูระดับสองของกองทัพชายแดนต้าหลีได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นทหารกล้าที่ปรีชาสามารถแห่งต้าหลี ไม่มีใครที่เป็นโง่ นายทหารหนุ่มจึงรีบพูดแก้ไข “ท่านหัวหน้าโปรดระงับโทสะ วันหน้าเมื่อบุกไปยังรังของสกุลเกาต้าสุย ข้าจะใช้คุณความชอบทางทหารมาแลกเปลี่ยนเป็นสาวๆ ผิวนวลเนื้อนุ่มให้แก่ท่าน ท่านจะได้อารมณ์ดี…”
หัวหน้าผู้อาวุโสก่นด่า “เจ้าบ้า คุณความชอบทางทหารน้อยนิดแค่นั้นของเจ้ายังไม่พอจะยัดซอกฟันข้าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ไปลาดตระเวนต่อ! เบื้องบนสั่งมาแล้วว่าให้ระวังความวุ่นวายจากทางแคว้นหวงถิงให้ดี ยิ่งเป็นอากาศแบบนี้ยิ่งต้องระวังให้มาก ไม่ใช่กลัวว่าพวกเขาจะทะเล่อทะล่าเข้ามารนหาที่ตาย แต่สู้รบทำสงครามมานานหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นกีบเท้าม้าของพวกเราที่เหยียบย่ำในบ้านของคนอื่น ไม่มีเหตุผลที่จะให้คนอื่นเหยียบย่ำเข้ามาในบ้านของพวกเรา”
นายทหารหนุ่มยิ้มหน้าเป็น “ทราบแล้วๆ ข้าจะนำไปเดี๋ยวนี้ รับรองว่าแม้แต่แมลงวันสักตัวก็จะไม่ปล่อยให้บินเข้าไปในหุบเขาสันหลังวัวที่อยู่เบื้องหน้าได้”
นายทหารหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงหมวกหนังเตียวหนานุ่มที่ตอนนี้ค่อนข้างแข็งลงมา สลัดเศษน้ำแข็งที่เกาะหมวกออกแล้วควบม้าไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
นายทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ชายแดนของสองแคว้นเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น ได้ยินมาว่าในแคว้นหวงถิงเกิดแผ่นดินไหวพื้นดินปริแยก คนตายไปหลายคน ทางฝ่ายเรากลับไม่มีความเสียหายใดๆ นี่เป็นเพราะมีสาเหตุใดแอบแฝงหรือไม่? หัวหน้าท่านมีช่องทางข่าวสารเยอะ นายทหารอาวุโสหลายคนตอนนี้ล้วนเป็นใต้เท้ารองแม่ทัพกันหมดแล้ว ข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้ท่านตั้งใจไปดื่มเหล้ากับใครบางคน มีอะไรที่พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้ไหม?”
สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสเคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่ยิ้มกว้าง สายตาฉายประกายร้อนแรง พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ไม่มีอะไรให้ต้องพูด ก็แค่อีกไม่นานพวกเราจะได้กินเนื้อแล้ว เป็นเรื่องดี!”
อีกด้านหนึ่ง เฉินผิงอันที่เดินฝ่าลมหิมะไปเบื้องหน้าเอ่ยเนิบช้า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้เห็นทหารม้าของต้าสุย พวกเขาคุ้มครองพวกเราจากชายแดนไปส่งถึงเมืองหลวง แต่เมื่อเทียบกับทหารม้าของต้าหลีแล้ว มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน…แต่ก็อธิบายไม่ถูก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!