งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงตัวนี้โขกหัวดังปั่กๆๆ อย่างไม่ลังเล เพียงแต่ความคิดชั่วร้ายที่มีอยู่เต็มหัวทำให้เขานินทาในใจไม่หยุด เจ้าเป็นถึงอริยะสำนักการทหารที่สูงส่งเหนือผู้คน จะดีจะชั่วก็ช่วยมีมาดของอริยะสักหน่อยได้หรือไม่? เจ้าควรจะกินตะวันกลืนจันทราอยู่บนยอดเขา หรือไม่ก็ปล่อยหมัดฟ้าคำรณอยู่ริมแม่น้ำใหญ่สิถึงจะถูก? แต่นี่กลับกลายเป็นว่าเดินดุ่มๆ เข้ามานั่งบื้ออยู่ข้างกายข้าไม่ต่างจากไม้ท่อนหนึ่ง เล่นอะไรของเจ้า?
เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดแห่งศาลลมหิมะ อริยะสำนักการทหารผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู อาจารย์หลอมกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วบุรพแจกันสมบัติทวีป เจ้าไม่สลักคำว่าหร่วนฉงใหญ่ๆ ไว้บนหน้าผากก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมหน้าตาท่าทางถึงได้ธรรมดาขนาดนี้? หรือถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เวลาเดินเจ้าก็ควรมีมาดดุจมังกรและพยัคฆ์เยื้องย่าง? นั่งก็ควรองอาจน่าเกรงขามดุจขุนเขาตั้งตระหง่านบ้างกระมัง?
เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าตัวเองมีตาแต่ไม่มีแววยังไม่กล้าลุกขึ้น ราวกับเป็นคนที่จิตใจห้าวเหิมยอมตายเพื่อคุณธรรม เพียงแต่ว่าใบหน้าเขาหดเหลือแค่สองนิ้ว น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม แอบเหลือบตามองนายท่านของตัวเอง หวังให้นายท่านช่วยพูดอะไรเพื่อแสดงความเป็นธรรมต่อตนสักหน่อย
ครั้งนี้เขาเกิดความคิดอยากกระโดดน้ำฆ่าตัวตายจริงๆ
แม้จะแปลกใจในท่าทางประหลาดของเด็กชายชุดเขียว แต่หร่วนซิ่วที่ไม่รู้ตนสายปลายเหตุก็ไม่คิดจะถามให้มากความ “ท่านพ่อ ข้าจะเข้าเมืองเล็กเป็นเพื่อนเฉินผิงอันสักหน่อย”
หร่วนฉงเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังพูดได้แค่ประโยคเดียว “รีบกลับมาตีเหล็กเร็วๆ ล่ะ”
หร่วนซิ่วถาม “ท่านพ่อ ยังไม่ถึงเวลาเปิดเตาหลอมกระบี่เลยนี่นา มีเรื่องอะไรหรือ?”
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน “ข้าบอกยังไงก็ทำตามนั้น เจ้าไม่ต้องถามมาก”
หร่วนซิ่วร้องอ้อรับหนึ่งที
จนกระทั่งเงาร่างของหร่วนฉงหายไปจากการมองเห็น เด็กชายชุดเขียวถึงมีความกล้าพอจะลุกขึ้นยืน ร่างของเขาส่ายโงนเงน เช็ดน้ำตาที่อาบนองหน้าและเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดเต็มหน้าผาก ในใจหวาดผวาไม่คลาย พูดในใจตัวเองว่า “รอดตายจากหายนะใหญ่ย่อมมีโชคดีรออยู่”
คนทั้งกลุ่มเดินออกจากร้านตีเหล็กที่ซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์ เดินผ่านสะพานหินโค้งที่ทอดตัวข้ามลำคลองมานานนับพันปี เฉินผิงอันพลันเอ่ยขอบคุณแม่นางชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “เดี๋ยวนี้ขี้เกรงใจขนาดนี้แล้วหรือ”
เฉินผิงอันตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พอไปอยู่ข้างนอก ถึงได้รู้เรื่องบางเรื่อง ดังนั้นข้าไม่ได้เกรงใจเจ้าจริงๆ”
หร่วนซิ่วถามยิ้มๆ “งั้นก็กำลังชมข้าล่ะสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หร่วนซิ่วจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม หลังถอนสายตากลับมาก็มองไปยังเมืองเล็ก เอ่ยคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ไม่ได้เปลี่ยนไป ดีจริงๆ”
เกรงว่าคงมีเพียงอริยะหร่วนฉงเท่านั้นที่ถึงจะรู้น้ำหนักและความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดประโยคนี้
บางทีอดีตอริยะอย่างฉีจิ้งชุนอาจรู้เรื่องราวทั้งหมด ผู้เฒ่าบางคนก็อาจจะพอมองสายสนกลในออก แต่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไร
หร่วนซิ่วบุตรสาวของหร่วนฉงมีพรสวรรค์ล้ำเลิศมาตั้งแต่เด็ก คือบุคคลที่พันปีก็ยากจะพานพบอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่อัจฉริยะด้านการฝึกตนทั่วไปจะทัดเทียมได้ เป็นเหตุให้หร่วนฉงจำเป็นต้องแยกตัวจากศาลลมหิมะ ออกมาตั้งสำนักของตัวเอง การที่เขามาลำบากอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูก็เพื่อหวังอาศัยตราผนึกคาถาอาคมของฟ้าดินแห่งนี้มาอำพรางความโดดเด่นของหร่วนซิ่ว หรือควรจะพูดว่าพยายามยืดเวลาการเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ยอดเขาสูงชะลูดเด่นเหนือเทือกเขา’ ของบุตรสาวออกไปให้ได้นานที่สุด
เด็กสาวชุดเขียวที่มีเจียวไฟจำแลงร่างเป็นกำไลรัดพันอยู่รอบข้อมือไม่ได้แค่มีร่างของเทพแห่งเพลิงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะในสายตาของเด็กสาว โลกและเรื่องราวที่นางมองเห็นแตกต่างไปจากทุกคน
นางสามารถมองตรงไปเห็นจิตใจดำมืดหรือขาวสะอาดของมนุษย์ มองเห็นผลกรรมดีเลวชัดเจน มองออกถึงความตื้นลึกแห่งโชคชะตา
ในสายตาของเด็กสาว โลกใบนี้เต็มไปด้วยสีสันสดใส
นี่หมายความว่าเส้นทางแห่งการพิสูจน์ตนเพื่อบรรลุมรรคาของหร่วนซิ่วจะยิ่งเต็มไปด้วยอุปสรรค ก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก แน่นอนว่าหากนางทำได้ หร่วนซิ่วจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ความกว้างใหญ่ของมหามรรคาเรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้
ดังนั้นครั้งแรกที่หร่วนซิ่วซึ่งนั่งอยู่บนหินหลังควายมองเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่บนฝั่งแล้วไม่ได้ถอยหลบอีกฝ่าย ก็เพราะนางมองเห็นความ ‘สะอาด’ ของเฉินผิงอัน
ถ้ำสวรรค์หลีจูที่กว้างใหญ่ บนโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย มีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผง ประหนึ่งกระจกใหม่เอี่ยมบานหนึ่ง
ดังนั้นหร่วนซิ่วจึงชอบอยู่กับเขา ชอบแอบมองแรงกระเพื่อมเล็กๆ ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน สัมผัสกับอารมณ์สุขทุกข์เศร้าเหงาร่าเริงของเขาอยู่เงียบๆ
สำหรับแม่นางที่กินเก่งผู้นี้
เด็กหนุ่มก็เหมือน ‘ขนม’ จานหนึ่งที่นางชอบกินมากที่สุด เป็นขนมประเภทที่นางชอบมาก ชอบจนตัดใจกินไม่ลง
นางกังวลมากว่าเฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลในครั้งนี้ จิตใจจะเปลี่ยนแปลงไป ทะเลสาบในหัวใจจะเปลี่ยนมาเป็นขุ่นมัว เส้นทางแห่งหัวใจเจิ่งนองไปด้วยดินโคลน ปนเปื้อนผลกรรมที่วุ่นวายและนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลาย
ตอนนี้มาลองมองดู เฉินผิงอันเปลี่ยนไปบ้างจริงๆ แต่กลับยังดีมากเหมือนเดิม
หร่วนซิ่วโล่งอก ขณะเดียวกันก็ยิ่งชอบเฉินผิงอันมากขึ้น
เห็นไหมล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ทำให้คนผิดหวัง!
เดินกันไปจนถึงตรอกหนีผิง เข้าไปในตรอกที่มืดสลัวและเล็กแคบ ต่อให้เด็กชายชุดเขียวจะทำใจมาก่อนแล้วก็ยังมองตาค้างพูดไม่ออก นายท่านของตนเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมแห่งนี้น่ะหรือ?
หร่วนซิ่วไขกุญแจผลักประตูหน้าบ้านเปิดอ้าอย่างคุ้นเคย หลังเข้ามาในลานบ้านก็เปิดประตูบ้านแล้วมอบกุญแจทั้งหมดสามพวงซึ่งรวมกุญแจของบ้านหลิวเสี้ยนหยางและซ่งจี๋ซินให้เฉินผิงอันพร้อมกันทีเดียว
เฉินผิงอันรับกุญแจมา ข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน เห็นว่าห้องที่ตนคุ้นเคยที่สุดสะอาดเอี่ยมเป็นระเบียบ ตรงหน้าต่างยังมีกระถางต้นไม้เล็กกะทัดรัดที่เขาไม่รู้จักชื่อวางอยู่ใบหนึ่ง แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ยังคงความเขียวขจี ทำให้คนมองอารมณ์ดีได้อย่างน่าประหลาด
เฉินผิงอันขยับปาเตรียมจะพูด หร่วนซิ่วกลับชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องพูดว่าขอบคุณแล้วนะ”
เฉินผิงอันประดักประเดิดเล็กน้อย ปลดตะกร้าสะพายหลังวางลงบนพื้น หยิบห่อสัมภาระหนักอึ้งออกมาวางบนโต๊ะ ตัวเองนั่งยองบนพื้น ควานมือคลำหาแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ แผ่นหนึ่ง พอลุกขึ้นยืนก็ส่งให้กับหร่วนซิ่วพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย “ไม่รู้ว่าควรจะเอาอะไรให้เจ้าดี นอกเมืองมีของกินเยอะก็จริง แต่ข้ากลัวว่าจะถูกทับจนบี้แบนไปเสียก่อน อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี คิดไม่ออกแล้วจริงๆ ถึงได้ทำเจ้านี่ขึ้นมา อย่ารังเกียจล่ะ”
หร่วนซิ่วอึ้งงัน รับแผ่นไม้ไผ่สีเขียวมรกตขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นนั้นมา มือสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายจึงก้มหน้าลงเพ่งมอง พบว่าด้านบนแผ่นไม้ไผ่สลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งแถว ‘ภูเขาและแม่น้ำย่อมเวียนบรรจบได้พบกันอีกครั้ง’ ตัวอักษรสลักอย่างเป็นระเบียบ และจริงจัง
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี ใช้ท้องนิ้วลูบตัวอักษรเหล่านั้นเบาๆ ก้มหน้าก้มตาพูด “ข้าชอบมาก”
เด็กชายชุดเขียวทำหน้าทึ่ง แบบนี้ก็ได้ด้วย?
บุตรสาวโทนของอริยะ ชื่นชอบไม้ไผ่ผุๆ ชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรกากๆ หนึ่งแถวเนี่ยน่ะเหรอ?
เวลาหลายร้อยปีที่นายท่านใหญ่อย่างข้าอยู่ในยุทธภพมา ไม่เท่ากับว่าเสียเปล่าหรอกหรือ?
จำได้ว่าเมื่อก่อนสหายเทพวารีถูกใจสตรีหัวสูงบนภูเขาคนหนึ่ง จึงมอบทรัพย์สมบัติกองโตเป็นภูเขาให้แก่นาง แค่กับตนก็ยืมเอาสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดาไปหลายชิ้น แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะอ้าปากยิ้มให้ ของทุกชิ้นล้วนรับไว้ด้วยความเต็มใจ แต่กลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น
เฉินผิงอันเปิดห่อผ้าต่อหน้าหร่วนซิ่ว เผยให้เห็นก้อนหินกองใหญ่ นับคร่าวๆ จะอย่างไรก็ต้องมีเก้าก้อนสิบก้อน ด้านในยังมีถุงผ้าฝ้ายใบเล็กอีกใบหนึ่ง เปิดออกมาข้างในก็ยังคงเป็นก้อนหิน แต่สีสันกลับสดใสหลากหลาย บ้างเล็กบ้างใหญ่ มีแค่สิบกว่าก้อนเท่านั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!