กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 181

กระบี่จงมา – บทที่ 181 ไม่คุ้มค่า
บทที่ 181 ไม่คุ้มค่า
โดย
ProjectZyphon
มักจะมีคนบางคนที่เพียงแค่มองครั้งเดียวก็รู้สึกดีด้วยอย่างไม่มีเหตุผล

หลังจากได้เห็นบัณฑิตผู้นั้น อารมณ์หนักอึ้งที่สะสมมาตลอดครึ่งทางระหว่างที่เดินอยู่บนถนนฝูลวี่ของเฉินผิงอันก็หายวับไปกับตา เขาถือประคองไหเดินขึ้นหน้าไปเร็วๆ

รอยยิ้มของบัณฑิตหนุ่มอบอุ่นอ่อนโยน เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม แต่ปรี่ออกมารับหน้าเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “เจ้าคงเป็นเฉินผิงอันสินะ ข้าคือหลี่ซีเซิ่ง พี่ชายคนโตของเป่าผิง จดหมายฉบับใหม่ล่าสุดที่เป่าผิงส่งมาจากสำนักศึกษาซานหยา ข้าได้รับแล้ว ข้าที่เป็นพี่ชาย ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนเจ้าอย่างไรจริงๆ ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังหัดเรียนหนังสือ วันหน้าไม่สู้มาที่บ้านของข้าบ่อยๆ ข้าพอจะมีตำราเก็บไว้บ้าง เจ้าก็มาเลือกไปอ่านได้ตามสบาย”

ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากรับไหจากมือเฉินผิงอันไปแล้ว เด็กหนุ่มยังโค้งตัวคำนับอีกหนึ่งครั้ง “บุญคุณยิ่งใหญ่คงได้แต่จดจำให้ขึ้นใจแล้ว”

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่ามือไม้เกะกะไม่รู้จะวางตรงไหน ได้แต่ชี้ไปที่ไหอันนั้นแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสำรวม “คุณชายหลี่ ในไหใส่ปลาตะเพียนข้ามภูเขาเอาไว้ตัวหนึ่ง ข้าเจอบนภูเขาระหว่างทางที่กลับมา จึงจับมาให้เป่าผิง”

หลี่ซีเซิ่งก้มหน้าลงมองปลาสีทองที่แหวกว่ายอยู่ในไหคับแคบอย่างสบายอุรา แล้วเงยหน้ามองเฉินผิงอัน กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าเคยอ่านคำบรรยายด้วยลายมือของอดีตปราชญ์ถึงความมหัศจรรย์ของปลาตะเพียนข้ามภูเขา และปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองก็ยิ่งมีแค่หนึ่งในหมื่น คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะยังมีโอกาสได้เห็นเองกับตา วางใจเถอะ ข้าจะต้องเลี้ยงดูมันอย่างระมัดระวังแน่นอน วันหน้าเมื่อเป่าผิงกลับมาบ้าน นางต้องดีใจมากแน่ๆ”

ความจริงใจและความกระตือรือร้นจากคุณชายตระกูลสูงศักดิ์อย่างหลี่ซีเซิ่งทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร แม้ว่าตอนนั้นจะลากชุยตงซานให้ไปช่วยกันจ้องมองปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่เดินทางอย่างยิ่งใหญ่กลุ่มนั้น สุดท้ายมองจนปวดตา กว่าจะจับปลาตัวนี้ไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าในตำราจะบันทึกไว้ว่าอย่างไร หรือชุยตงซานจะบอกว่ามันอัศจรรย์แค่ไหน แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว เขากลับไม่เห็นว่ามันจะล้ำค่าไปยังไง

ขอแค่เป็นคนที่เฉินผิงอันเห็นว่าสนิทสนมใกล้ชิด เขาก็ยินดีจะควักหัวใจให้

เฉินผิงอันไม่ถนัดด้านการพูดคุยเลยจริงๆ จึงเกาหัวบอกลา เตรียมจะหมุนกายจากไป

หลี่ซีเซิ่งรีบเรียกเฉินผิงอันเอาไว้ “ทำไมไม่เข้าไปนั่งในบ้านสักหน่อยเล่า วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูก่อนหนึ่งรอบ วันหน้าเจ้าจะมาอ่านตำราก็มาได้เลย เดี๋ยวข้าจะบอกคนเฝ้าประตูไว้ให้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เอาไว้คราวหน้าเถอะ”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มอย่างจนใจ “ถ้างั้นอย่างน้อยก็ให้ข้าเอาปลาตะเพียนข้ามภูเขาไปเก็บ แล้วเอาไหมาคืนให้เจ้าดีไหม?”

คราวนี้เฉินผิงอันไม่เกรงใจ พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรออยู่ตรงนี้”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “รอสักครู่ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”

เขาหมุนตัว ประคองไหวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในบ้าน

ชายหนุ่มในเวลานี้ไม่มีท่าทางเหมือนปราชญ์เมธีที่คอยอธิบายเหตุผลตามตำราอีกต่อไป แต่เหมือนพี่ชายใหญ่ของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจริงๆ

ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ หลี่ซีเซิ่งก็วิ่งประคองไหกลับมา ใต้รักแร้สองข้างยังหนีบหนังสือมาด้วยหลายเล่ม เฉินผิงอันรับไหมาก็ค้อมตัวเอาวางบนพื้น เช็ดมือสองข้างแรงๆ ก่อนจะรับหนังสือเหล่านั้นมา แล้วเอามาหนีบไว้ใต้รักแร้เลียนแบบอีกฝ่าย สุดท้ายหยิบไหขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว “ข้าอ่านจบแล้วจะเอามาคืนทันที”

รอยยิ้มของหลี่ซีเซิ่งเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขาโบกมือกล่าว “ไม่ต้องรีบเอามาคืน ค่อยๆ อ่านไปนั่นแหละ พวกมันเป็นเด็กดีกว่าเป่าผิงเยอะ ไม่มีทางวิ่งไปไหนมาไหนได้เอง”

หลี่ซีเซิ่งหุบยิ้มแล้วเอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน อย่าคิดว่าที่ข้าเชิญเจ้ามาอ่านหนังสือที่บ้านเป็นแค่คำพูดตามมารยาท ข้าอยากให้เจ้ามาบ่อยๆ จริงๆ แม้ว่าเป่าผิงจะฉลาด แต่จะอย่างไรแล้วอายุก็ยังน้อย นิสัยยังเด็ก บอกให้นางตั้งใจอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ ข้าจึงรู้สึกว่าในบ้านมีเพียงข้าคนเดียวที่พลิกเปิดหน้าหนังสือ มาลองใคร่ครวญดูอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงมันก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยความในใจมากมายรวดเดียวจบ

หากมีคนของตระกูลหลี่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยต้องเข้าใจผิดคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแน่ๆ

เพราะเมื่ออยู่ภายใต้ประกายความโดดเด่นของน้องชายอย่างหลี่เป่าเจินแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่ที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังผู้นี้จะดูเป็นคนเคร่งขรึมน่าเบื่อหน่ายเกินไป แม้ว่าจะอ่อนโยนเป็นมิตรกับทุกคน แต่ก็เงียบขรึมพูดน้อย ไม่ใช่คนที่ชอบสรวลเสเฮฮา ในแต่ละวันหากไม่เก็บตัวอยู่ในกองหนังสือเพื่อค้นคว้าหาความรู้ ก็มักจะเดินเล่นอยู่ในจวนใหญ่เพียงลำพัง ไม่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกก็ไปดู พายุหิมะหรือแสงจันทร์ก็ต้องไปดู ไม่ว่าอะไรก็ดูหมด ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะดูให้เห็นอะไรขึ้นมา ยังดีที่หลี่ซีเซิ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลี่ ได้รับความชื่นชอบไม่น้อย ในจวนไม่มีใครรังเกียจว่าที่ประมุขของตระกูลในอนาคตผู้มีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหลี่เป่าเจินน้องชายของเขาแล้ว เขาจึงดูไม่ค่อยมีเสน่ห์ดึงดูดเท่าไหร่นัก

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะมา”

หลี่ซีเซิ่งอืมรับหนึ่งทีแล้วโบกมือลากับเด็กหนุ่ม

มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลของเฉินผิงอัน หลี่ซีเซิ่งพึมพำกับตัวเอง “ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างแสนงดงาม”

แล้วเขาก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ภูเขาเขียวก็เห็นข้าในแบบเดียวกัน?”

หลี่ซีเซิ่งหมุนกายเดินไปทางประตูใหญ่ ก้าวข้ามธรณีประตูด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า พึมพำเบาๆ “เป็นวันที่งดงามอีกวันหนึ่ง”

แต่พอนึกถึงข่าวที่ส่งมาจากเมืองหลวง หลี่ซีเซิ่งก็ถอนหายใจ ช่วยไม่ได้ ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก เดินไปเดินมา เดินผ่านระเบียงผ่านเรือนต่างๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มขึ้นมาได้อีก “แต่ก็ไม่กระทบต่อความงดงามของวันนี้”

กลางระเบียง สาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งเดินสวนมา นางชะลอฝีเท้า เบี่ยงกายยอบตัวคำนับ เอ่ยเสียงหวานเพราะพริ้ง “คุณชายใหญ่”

หลี่ซีเซิงชะลอฝีเท้าตามความเคยชิน พยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเดินผ่านนางไปโดยไม่พูดอะไร

สาวใช้หน้าตาท่าทางไม่ธรรมดาหันหน้ามองตามไป อดที่จะตำหนิการประเมินตัวสูงของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจด้วยความเศร้าหมอง คุณชายใหญ่ไม่เลวเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเข้าใจความงดงามของเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

หากเปลี่ยนเป็นคุณชายรองต้องหยุดเดินแล้วหันมาคุยเล่นกับตน แถมจะยังชื่นชมความสวยงามของเครื่องประดับผมที่นางเพิ่งซื้อมาใหม่อีกหลายคำ

นางย่อมไม่รู้ว่า

หลานชายคนโตของตระกูลหลี่ผู้นี้ไม่เข้าใจความงดงามของอารมณ์แบบนี้จริงๆ แต่เขากลับเชี่ยวชาญในความงดงามของอารมณ์แบบอื่นอย่างลึกซึ้ง

ยกตัวอย่างเช่นความงามยามสายฝนซัดกระหน่ำลงบนใบบัวแห้งเหี่ยว ยามลมวสันต์โชยพัดผ่านกีบม้าเหล็ก ยามสาวงามส่องคันฉ่อง ยามแม่ทัพพกดาบหยก ยามหิมะขาวโพลนเต็มภูเขาเขียว

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความงดงามแห่งโลกมนุษย์ในสายตาของคนผู้นั้น

หลี่ซีเซิ่งกลับไปถึงเรือนของตัวเอง ในลานกว้างมีบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ก่อขึ้นจากหินไข่ห่านหลากสี

หลี่ซีเซิ่งนั่งยองอยู่ข้างบ่อ ก้มหน้ามองน้ำในบ่อที่ใสแจ๋ว ด้านในคือปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ส่ายหางแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระมีความสุข

ยากจะจินตนาการได้ว่า บ่อน้ำที่มีเอกลักษณ์บ่อนี้จะเป็นคุณความชอบของหลี่เป่าผิงคนเดียว ทุกครั้งที่แม่นางน้อยแอบหนีออกจากบ้าน ส่วนใหญ่จะต้องไปเก็บก้อนหินที่ธารน้ำหลงซวีแล้วเอากลับบ้านทีละสองสามก้อน สะสมอยู่อย่างนี้มาเรื่อยๆ ภายหลังจู่ๆ หลี่เป่าผิงก็เกิดความคิดประหลาด มองเห็นก้อนหินที่กองกันเป็นภูเขาลูกย่อม นางก็บอกว่าจะสร้างบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่สามารถเลี้ยงกุ้งหอยปูปลาได้ให้พี่ชายใหญ่ หลี่ซีเซิ่งห้ามปรามไม่อยู่จึงได้แต่ช่วยนางวางแผน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ทำงานมีเพียงหลี่เป่าผิงคนเดียว หลี่ซีเซิ่งที่เป็นพี่ชายคิดจะช่วย ให้ตายยังไงนางก็ไม่ยอมเด็ดขาด

หลี่ซีเซิ่งมองเห็นเจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาจากใต้แผ่นหินสีเขียว จึงยิ้มตาหยีพูดกับมันว่า “พวกเจ้าสองตัวจงอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ห้ามทะเลาะกันเด็ดขาด”

หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในห้องหนังสือขนาดเล็กที่แขวนป้ายคำว่า ‘เจี๋ยหลู’ (สร้างห้อง) เอาไว้ แล้วกางกระดาษฝนหมึก ยกพู่กันขึ้นมาวาดภาพ

เป็นภาพหิมะห่มทับบนต้นสนสีเขียวที่แผ่กลิ่นอายของความโบราณเข้มข้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!