จากนั้นแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งก็มาเยือน
ต่งสุ่ยจิง
เขาก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ตอนนั้นไม่ต้องการติดตามเพื่อนร่วมห้องสามคนอย่างพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปศึกษาต่อที่ต้าสุย ต่งสุ่ยจิ่งเลือกจะอยู่ต่อในเมืองเล็ก ส่วนสือชุนเจีย แม่นางน้อยที่มัดผมแกละสองข้างก็เลือกติดตามคนในตระกูลย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี
ห้าคนสุดท้ายที่อยู่ต่อในโรงเรียนของฉีจิ้งชุนจึงแยกย้ายกันไปอยู่คนละมุมฟ้านับจากนั้น
พอได้พบต่งสุ่ยจิ่ง เฉินผิงอันก็รีบให้เขาเข้ามานั่งในลานบ้าน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกของกินเล่นออกมารับรองแขกอย่างคล่องแคล่ว ต่งสุ่ยจิ่งมีท่าทางระมัดระวังตัวและลำบากใจอยู่เล็กน้อย เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วมานั่งรอรับการลงโทษจากอาจารย์อยู่ในโรงเรียน
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าการที่ต่งสุ่ยจิ่งเลือกจะอยู่ต่อในเมืองเล็กเป็นการเลือกที่ผิด
ระหว่างที่เดินทางไกล มีครั้งหนึ่งเขาถูกหลี่ไหวเด็กขี้ขลาดเรียกให้ไปถ่ายหนักเป็นเพื่อนตอนกลางคืน ได้ฟังหลี่ไหวเล่าให้ฟังถึงชาติกำเนิดของต่งสุ่ยจิ่ง ต่างก็พูดกันว่าที่เขาถูกตั้งชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งนั้นเป็นเพราะตอนที่แม่ของเขาตั้งท้องเขา ได้แบกท้องโตๆ ไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็ก ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ค้อมตัวก็คลอดต่งส่งจิ่งออกมาทันที ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของเพื่อนร่วมโรงเรียน ต่งสุ่ยจิ่งไม่เคยอธิบายอะไร คนอื่นหัวเราะเยาะก็ปล่อยพวกเขาไป
ส่วนเรื่องที่ต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีต่างก็ชอบพี่สาวของหลี่ไหว เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้อย่างชัดเจนดี แต่จะเป็นจริงหรือเท็จนั้น เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก
ซ่งจี๋ซินที่อยู่บ้านข้างๆ เคยพูดมานานแล้วว่า คนในเมืองเล็กที่โตขนาดพวกเขา พวกคุณชายน้อยบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ต่างก็มีสาวใช้ห้องข้างกันมานานแล้ว ที่ตรอกฉีหลงและตรอกซิ่งฮวาก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีแม่สื่อช่วยจับคู่ให้ โตกว่านี้อีกสักปีสองปีก็เป็นพ่อคนได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องปกติของเมืองเล็ก ส่วนตรอกที่ยากจนและอยู่ในระดับชั้นต่ำสุดอย่างตรอกหนีผิงนี้ ผู้ชายอาจจะอยู่เป็นโสดได้ถึงอายุสามสิบสี่สิบปีเลยทีเดียว
ต่งสุ่ยจิ่งเล่าเรื่องของโรงเรียนใหม่ในเมืองเล็กให้ฟัง เฉินผิงอันก็เล่าเรื่องน่าสนใจระหว่างเดินทางไกลให้เขาฟัง ไม่กล้าพูดเรื่องที่แปลกพิสดารอะไรมากนัก ด้วยกลัวว่าต่งสุ่ยจิ่งจะคิดมาก จะอย่างไรซะเป็นคนซื่อก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขาดไหวพริบเสมอไป
ต่งสุ่ยจิ่งรู้มาว่าในอนาคตเมืองเล็กจะต้องมีจุดพักม้าเป็นของตัวเอง เขาจึงขอที่อยู่ในการส่งจดหมายไปยังสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยมาจากเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มดีใจมาก บอกว่าจะต้องเขียนจดหมายไปให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนให้ได้ เฉินผิงอันลังเลอยู่บ้าง เขารู้ว่าการส่งจดหมายที่จุดพักม้า มักจะเป็นจดหมายที่เขียนถึงคนทางบ้าน อีกทั้งยังต้องใช้เงินมาก ตอนนี้ต่งสุ่ยจิ่งตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะจ่ายไหว แต่สุดท้ายเฉินผิงอันก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงแค่จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบๆ
ต่งสุ่ยจิ่งบอกลาจากไปอย่างอารมณ์ดี
เด็กชายชุดเขียวจุ๊ปากพูด “เจ้าโง่คนนี้นับว่าไม่เลว ข้านึกว่าเขาจะมาขอกินขอดื่มกับนายท่านโดยไม่จ่ายเงินเสียอีก หากเขากล้าเปิดปาก…”
เขาหันไปมองเฉินผิงอันโดยไม่รู้ตัว รีบกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้อง เปลี่ยนคำเสียใหม่ “ข้าก็จะแนะนำเขาดีๆ ต้องอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง บอกว่าคนเราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
เฉินผิงอันตบศีรษะเด็กชายชุดเขียวยิ้มๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
วันที่สองของเดือนแรก ธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองเล็กคือเริ่มเดินทางไปเยี่ยมญาติ
เฉินผิงอันไม่มีญาติให้ไปเยี่ยมจึงพาเด็กน้อยทั้งสองไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
ภูเขาลั่วพั่วตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขตการปกครองใหญ่หลงเฉวียน บริเวณใกล้เคียงมีภูเขาสามลูกเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าขนาดล้วนเทียบกับภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ แบ่งออกเป็นภูเขาเที่ยวอวี๋ (ปลากระโดด) เชิงเขาฝูเหยา (ลอยคว้างขึ้นสู่เบื้องบน) และยอดเขาเทียนตู (เมืองสวรรค์) ภูเขาแต่ละแห่งล้วนถูกกองกำลังตระกูลเซียนนอกเหนือจากต้าหลีซื้อเอาไว้สร้างอาคารบ้านเรือนที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไป คืนก่อนวันปีใหม่ของเมื่อปลายปีก่อนยังมีแต่เสียงดังอึกทึกทั้งยามกลางวันและกลางคืน
วันนี้ตอนที่พวกเฉินผิงอันสามคนเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนตู บนยอดเขาถือว่าสงบเงียบลงได้เสียที
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่าน ภูเขาใหญ่แต่ละแห่งมีจวน อาราม ศาลา หอเรือน สวน จุดชมทิวทัศน์บนยอดเขา สะพานยาวที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาสองลูก ฯลฯ ถูกสร้างขึ้น สิ่งปลูกสร้างหรูหราแปลกตาหลายแห่งผุดผงาดขึ้นมาท่ามกลางป่าเขา ทำให้คนต้องทอดถอนใจกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของพวกมัน
ส่วนการเปิดภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ในนามของเฉินผิงอัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายทุกอย่างล้วนมีกรมโยธาธิการต้าหลีเป็นผู้กำหนด บวกกับที่เจ้าของภูเขาท่านนี้ไม่ต้องการให้สร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ เพิ่มเติม ดังนั้นภูเขาที่กว้างขวางจึงค่อนข้างจะเงียบเหงา ขนาดภูเขาลั่วพั่วที่มีเทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์ยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวเลย กลิ่นอายของความวังเวงบนภูเขาทั้งสามลูกทำให้ทุกครั้งที่นักพรตตระกูลต่างๆ ซึ่งรับผิดชอบทำงานในภูเขาบริเวณใกล้เคียงมองมา ต่างก็รู้สึกขบขัน
มีเงินก้อนโตซื้อภูเขา แต่ไม่มีเงินก้อนเล็กเปิดภูเขา ช่างเหลวไหลเกินไปแล้ว
พอพวกเฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ภูเขาของตัวเอง เว่ยป้อก็ปรากฎตัวอย่างลึกลับอีกครั้ง
เฉินผิงอันส่งถุงเล็กใบหนึ่งให้เว่ยป้อ ด้านในบรรจุหินดีงูชั้นเยี่ยมหนึ่งก้อน บอกให้เว่ยป้อช่วยเอาไปมอบให้กับงูดำดุร้ายที่มาจากภูเขาฉีตุนตัวนั้น เว่ยป้อยิ้มรับเงินยาสุ้ยก้อนนี้เอาไว้ บอกว่าจะต้องส่งมอบให้ถึงมือ ไม่มีทางฮุบเก็บไว้เองแน่
เดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เฉินผิงอันถามถึงเรื่องโรงเรียนกับเว่ยป้อ แน่นอนว่าเว่ยป้อต้องรู้เรื่องวงในมากกว่าต่งสุ่ยจิ่ง เขาจึงพูดจ้อให้ฟังไม่หยุด ที่แท้โรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน อีกทั้งยังไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ต่อให้เป็นนักโทษผู้ลี้ภัยสกุลหลูที่อายุยังน้อยก็สามารถเข้ามาเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ นี่เท่ากับว่าช่วยชีวิตหลายสิบชีวิตในคราวเดียว หาไม่แล้วเด็กๆ ที่ร่างกายอ่อนแอเหล่านั้นจะรอดผ่านฤดูหนาวอันทรมานของปีที่แล้วไปได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
เมื่อเขตการปกครองหลงเฉวียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน และยังมีตระกูลอีกมากที่ย้ายมาจากเขตการปกครองใกล้เคียง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่ขาดแคลนคนและเงินทอง จึงมีการทุ่มเงินมหาศาลกว้านซื้อบ้านและที่ดินในเมืองเล็กและบริเวณใกล้เคียงเกิดขึ้น แน่นอนว่าบ้านใหญ่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเยว่คือตัวเลือกอันดับหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่คนเก่าคนแก่ที่อายุอยู่ในแถบตรอกฉีหลง ตรอกซิ่งฮวาจำนวนมากก็ยังพากันย้ายออกไป แทนที่มาด้วยเจ้าของคนใหม่
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี โรงเรียนก็มีนักเรียนแล้วหนึ่งร้อยกว่าคน อาจารย์สอนหนังสือต่างก็เป็นปราชญ์ขงจื๊อมากความรู้ผู้มีชื่อเสียง
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ถามยิ้มๆ “รู้สึกว่าแค่เชือดไก่ทำไมต้องถึงกับใช้มีดฆ่าวัวใช่ไหมล่ะ? เหตุใดพวกบัณฑิตที่เวลาปกติวางมาดใหญ่โตถึงยินดีหันหลังให้บ้านเกิด วิ่งมาทนรับความลำบากที่นี่ อีกทั้งคนที่พวกเขาต้องถ่ายทอดความรู้ให้ยังเป็นแค่เด็กน้อยและเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วถาม “เพราะสกุลเฉินหลงเหว่ยจ่ายเงินไปมาก?”
เว่ยป้อหัวเราะดังสนั่น โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก ในบรรดาอาจารย์มากความรู้พวกนั้นมีนักปราชญ์อยู่สองคน จะเห็นแก่เงินได้อย่างไร พวกเขาน่ะ หวังว่าจะได้เข้ามาในภูเขาพีอวิ๋น เพราะบนภูเขากำลังจะมีสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักศึกษาหลินลู่ปรากฏขึ้น”
เด็กชายชุดเขียวที่อยู่ข้างๆ ถามแทรก “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น คงไม่ใช่ว่าเป็นคนงานสร้างสำนักศึกษาหลินลู่หรอกนะ?”
“ไป๊ๆๆ เด็กจะไปเล่นที่ไหนก็ไป ข้ากับนายท่านของเจ้าคุยเรื่องของผู้ใหญ่กันอยู่”
เว่ยป้อสะบัดมือทำท่าขับไล่ จากนั้นก็หันมาพูดกับเฉินผิงอันต่อ “อันที่จริงแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออกว่า จุดประสงค์ของต้าหลีนั้นยิ่งใหญ่มาก เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาหลินลู่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เมื่อใดที่ต้าหลียกทัพลงใต้ได้อย่างราบรื่น สกุลเกาต้าสุยถูกฆ่าล้างตระกูล นอกจากสำนักศึกษากวานหูแล้ว รายชื่อหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อแห่งที่สองในแจกันสมบัติทวีปย่อมต้องตกเป็นของสำนักศึกษาหลินลู่”
“ดังนั้นยิ่งได้เข้าไปอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนขั้นกลายเป็น ‘ขุนนางติดตามมังกร’ ติดตามมังกร แอบอิงมังกร ต่างกันแค่คำเดียว แต่กลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว”
“ช่วยไม่ได้ บัณฑิตที่คิดจะแสดงความสามารถ ช่วยบ้านเมืองและประชาราษฎร จำเป็นต้องมีเก้าอี้นั่งอยู่ในราชสำนัก หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากวางแผนรบบนกระดาษ แน่นอนว่าหากเบียดเข้าไปในวงการขุนนางไม่ได้ ถอยหนึ่งก้าว ยามยาก เฝ้ารักษาคุณความดีเฉพาะตน เลือกถ่ายทอดความรู้ อบรมบ่มเพาะชาวบ้าน ชี้นำขนบธรรมเนียมอันดีงามให้กับคนในพื้นที่หนึ่งก็ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับอย่างแรกแล้วย่อมต้องเงียบเหงากว่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!