เดิมทีการสร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็แทบจะหนีไม่พ้นนักพรตพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋า ยันต์แต่ละแผ่นในมือของพวกเขาพอร่วงลงพื้นก็กลายมาเป็นหุ่นเชิด สติปัญญาเปิดกว้าง สามารถรับฟังคำสั่งที่เรียบง่ายและตื้นเขินที่สุดบางส่วนได้ พวกมันจะทำตามคำสั่ง ไม่ต้องพักผ่อนนอนหลับ จนกว่าปราณวิญญาณจะหมดสิ้นถึงจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเถ้ากระดาษกองหนึ่ง
เว่ยป้อพาเฉินผิงอันไปที่ภูเขาอู๋ถง (ต้นอู๋ถง) รอบหนึ่ง ต่อให้แค่มองจากตีนเขาไกลๆ ก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ใหญ่โตมโหฬารแก่คนมอง เพราะว่าภูเขาทั้งหมดของเทือกเขาเส้นนี้ล้วนถูกตัดให้ราบเรียบ รอจนงูดำพาพวกเขาเลื้อยขึ้นไปบนพื้นราบที่มีฝุ่นคละคลุ้งแล้วได้ยินคนแนะนำ ถึงได้รู้ว่าในอนาคตรัศมีสี่ห้าลี้รอบพื้นที่ราบแห่งนี้จะกลายมาเป็น ‘ท่าเรือ’ แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าท่าเรือของชาวบ้านล่างภูเขาเอาไว้จอดเรือที่แล่นมาตามน้ำ แต่ท่าเรือของนักพรตบนภูเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการแล่นมาตามทะเล ทะเลเมฆ ส่วน ‘เรือใหญ่’ นั้นคือวัตถุแบบใด เว่ยป้อกลับเล่นแง่ไม่ยอมบอก
ผ่านภูเขาอู๋ถงมาได้ก็อยู่ห่างจากภูเขาเสินซิ่วไม่ไกลแล้ว ตรงกลางมีภูเขาเป่าลู่ที่เป็นของเฉินผิงอันกั้นขวาง และภูเขาหนิวเจี่ยว (เขาวัว) ที่นักพรตแคว้นหนันเจี้ยนคนหนึ่งซื้อเอาไว้ ภูเขาหนิวเจี่ยวไม่สูงมาก แต่ตัวภูเขาค่อนข้างหนาใหญ่ จากตีนเขาไปถึงยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างหลายหลังสลับสล้างทอดยาว
เว่ยป้อกระโดดลงจากหลังงูดำ บอกให้พวกเฉินผิงอันลงมาด้วย จากนั้นก็สั่งความให้งูดำรออยู่ที่ตีนเขา ห้ามเลื้อยไปไหนมั่วซั่ว
ตรงตีนเขาแขวนป้ายสามตัวอักษรว่า ‘ผ้าห่อบุญ’ (ภาษาจีนคือเปาฝูไจ คือการที่คนสายตาเฉียบแหลม แต่ไม่มีเงินเปิดร้านเป็นของตัวเองเอาผ้าสีฟ้าไปห่อสินค้าตามร้านขายของเก่าต่างๆ แล้วเอาของที่ว่านี้ไปขายต่อ จะเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าผ้าห่อบุญ) ที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับ
เว่ยป้อเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินพลางพูดไปด้วย “สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโรงรับจำนำ แล้วก็เป็นทั้งร้านขายของเก่า มีครบทุกความมหัศจรรย์ ไม่ว่าอะไรก็ขายได้ ไม่ว่าอะไรก็หาซื้อได้ ขอแค่ตกลงราคากันได้ มือหนึ่งส่งเงินมือหนึ่งส่งของ ผู้ก่อตั้งแรกเริ่มสุดคือผู้ฝึกตนอิสระยากจนคนหนึ่ง เขาได้แต่แบกห่อผ้าที่ใส่ของผุๆ พังๆ กองโตวิ่งวุ่นไปทั่วทิศ เดี๋ยวซื้อเดี๋ยวขาย ได้กำไรจากส่วนต่าง หลังจากกิจการรุ่งโรจน์ก็ถือโอกาสตั้งชื่อเป็นผ้าห่อบุญเสียเลย ภูเขาหนิวเจี่ยวคือหนึ่งในสาขาของร้านพวกเขา ของหายากที่ขายในหอเรือนแต่ละหลังมีหลากหลายชนิด ตอนนี้หอเรือนสร้างเสร็จไปพอสมควรแล้ว เพียงแต่ว่าสินค้ายังขนส่งมาได้แค่ส่วนน้อย น่าจะต้องรอให้ท่าเรือบนภูเขาอู๋ถงสร้างเสร็จเสียก่อนถึงจะขนส่งมาเป็นจำนวนมากได้”
ตลอดทั้งบนยันล่างภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่ว่าจะเป็นคนคุมงานที่กุมอำนาจ หรือผู้ฝึกตนอิสระที่มาท่องเที่ยวเยี่ยมชมที่แห่งนี้ พอเห็นบุรุษชุดขาวผู้เป็นมหาเทพแห่งขุนเขาของต้าหลีท่านนี้ต่างก็แสดงความเคารพนอบน้อม เกรงใจจนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบลดตนให้ต่ำต้อย ดังนั้นตลอดทางจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น สตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ท่าทางสง่างามคนหนึ่งของร้านผ้าห่อบุญถึงขั้นเดินออกมานำทาง อธิบายถึงความล้ำค่าของหอเรือนที่เก็บสมบัติแต่ละหลังให้พวกเขาฟังโดยเฉพาะ
เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ใน ‘หอเรือนแถบหนึ่ง’ มีโถกวีนิพนธ์ที่พิเศษชนิดหนึ่ง สลักบทความคำเขียว (คำอวยพรที่คนลัทธิเต๋าเขียนรายงานแก่สวรรค์เมื่อจัดพิธีกินเจ โดยทั่วไปแล้วจะใช้หมึกสีแดงเขียนลงบนกระดาษที่ทำจากเปลือกเถาวัลย์เขียว) ตามตำราของลัทธิเต๋าเอาไว้ มีทั้งหมดเจ็ดใบ ใบที่สูงก็สูงประมาณครึ่งตัวคน ใบที่ต่ำหน่อยก็ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ว่ากันว่าด้านในบรรจุน้ำพุเอาไว้ ล้วนเป็นน้ำพุที่เอามาจากบ่อน้ำพุใหญ่ที่มีชื่อเสียงร้อยแห่งในใต้หล้า น้ำพุใสกระจ่างดุจหยก ไหลรินดุจสายรุ้ง เหมาะสมกับการนำมาต้มชารับรองแขกมากที่สุด
“คนเราไม่กินข้าวหนึ่งวันได้ แต่ไม่อาจขาดน้ำได้ถึงหนึ่งวัน น้ำคือแก่นของอาหาร ดังนั้นคำว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามที่พูดกัน การดื่มน้ำจึงเป็นเรื่องแรก”
“ร้านผ้าห่อบุญของพวกเรามีนักพรตคอยไปชั่งน้ำหนักน้ำพุของแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ จะใช้โต่ว (เครื่องตวงข้าวของจีน เป็นรูปสี่เหลี่ยม บางครั้งเป็นรูปกลอม ส่วนมากจะทำด้วยแผ่นไม้หรือแผ่นไม้ไผ่) สี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ทำจากเงินกับตาชั่งขนาดเล็กอันหนึ่งมาใช้ชั่งน้ำหนัก น้ำพุต้องมีครบทั้งสามอย่างคือเบา สะอาดและหวาน ถึงจะเก็บเอามาไว้ในโถคำเขียวเหล่านี้ได้ ไม่กล้าพูดว่าเป็นน้ำทิพย์เลิศรส แต่ก็รับรองได้ว่าเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ น้ำพุทุกจินล้วนไม่ไหลผ่านโลกมนุษย์”
แม้ว่าสตรีที่เป็นสาวสะพรั่งคนนี้จะไม่มีรูปโฉมงามล้ำ แต่เสียงพูดกลับนุ่มนวล ประหนึ่งเสียงน้ำพุไหลริน ไพเราะชวนฟัง
ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะข้ามธรณีประตูเข้ามาใน ‘หอตระการตา’ ก็เห็นฉากกันลมที่เป็นม้วนภาพวาดสูงเท่าตัวคนแถบหนึ่ง ด้านบนวาดโฉมสะคราญสิบสองคน ทุกคนล้วนเป็นหญิงงามที่เลือกมาจากหนึ่งทวีปหรือไม่ก็จากหนึ่งแคว้น เป็นฝีมือการวาดของจิตกรเอกตันชิง ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสาวงามเหล่านี้ต่างก็มีชีวิตชีวาเสมือนจริง บ้างก็ก้มหน้าดีดพิณ ชายแขนเสื้อพลิ้วไหวดุจน้ำไหลริน บ้างก็เท้าแก้มมองจ้องมา บ้างก็ถือพัดไล่จับผีเสื้อ ท่วงท่าเย้ายวนชวนให้คนหวั่นไหว
ทอดสายตามองไปเห็นแต่ความงดงามอันมีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัว สวยเกินคำบรรยาย
และยังมีฉากกันลมที่เป็นสภาพอากาศยี่สิบช่วง หากเป็นช่วงแมลงตื่นจากการจำศีลก็จะเป็นภาพของสายฟ้าแลบปลาบ ช่วงเชงเม้งมีฝนปรอยบางๆ ช่วงจงชิวเป็นจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่กลางนภา ส่องแสงพิสุทธิ์กระจ่างตา
ความคิดอันอัศจรรย์หลากหลายทำให้คนมองอดตบโต๊ะร้องชื่นชมไม่ได้
เพราะมีเว่ยป้ออยู่ด้วย สตรีวัยสาวเต็มตัวจึงพาพวกเฉินผิงอันไปดูสวนวิเศษอันเป็นสถานที่ส่วนตัว ตอนนั้นยังมีนักพรตสำนักเกษตรบ้างหอบบ้างถือดอกไม้ใบหญ้าแปลกตาหลากหลายวุ่นอยู่ในแปลงดิน จัดทำสวนพืชวิเศษประเภทนี้ นอกจากจะสามารถขายดอกไม้ใบหญ้าที่มีชื่อเสียงราคาแพงได้แล้ว ยังสามารถกักเก็บโชคชะตาของแม่น้ำและภูเขาไว้ได้ ขณะเดียวกันก็สวยงามน่ามอง ดังนั้นจึงเป็นที่โปรดปรานของตระกูลเซียนมาโดยตลอด
ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามีเงินอย่างแท้จริง
เอ่ยขอบคุณและบอกลาสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ไม่บอกชื่อแซ่ของตน ลงจากเขาเดินออกจากซุ้มประตูหิน เว่ยป้อก็บอกให้เฉินผิงอันหันไปมองทางภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วยื่นมือมาดีดนิ้วตรงหน้าเขาพลางพูดยิ้มๆ “ลองมองใหม่สิ มีอะไรต่างไปจากเดิม”
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปก็ค้นพบว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีเขียวอมเทาชั้นหนึ่ง บางครั้งก็มีสายฟ้าสีขาวจ้าเปล่งวูบวาบ
เว่ยป้อจึงพูดอธิบาย “นี่ก็คือค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่เขาเรียกกัน ค่ายกลนี้ของภูเขาหนิวเจี่ยวมาจาก ‘เมฆหมอกแห่งฝันละล่องเหนือหนองน้ำ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพค่ายกลที่มีชื่อเสียง เดิมทีเป็นภาพวาดภูเขาและแม่น้ำของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง ภายหลังถูกคนนำมาอนุมานและปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นภาพค่ายกลภาพหนึ่ง นอกจากจะมีประโยชน์ในการปกป้องภูเขา ต้านทานและโจมตีศัตรูแล้ว ยังมีมีประสิทธิภาพในการจัดวางหินฮวงจุ้ย ป้องกันไออัปมงคลและสิ่งชั่วร้าย เปลี่ยนลมปราณขุ่นมัวให้ใสสะอาด”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ร้ายกาจจริงๆ”
เว่ยป้อพูดยิ้มๆ “รู้สึกว่าตัวเองยากจนขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้รู้สึกว่าจน แต่รู้สึกว่าไม่รวยสักเท่าไหร่”
เว่ยป้อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คนทั้งกลุ่มกลับขึ้นไปบนหลังงูดำ มุ่งหน้าไปยังภูเขาเสินซิ่วอีกครั้ง
เว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า การแลกเปลี่ยนบนภูเขาใช่ว่าจะไม่มีการใช้เงินทองที่แท้จริง แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแค่การบอกจำนวนตัวเลขเท่านั้น เพราะหากทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ (วัตถุฟางชุ่นคือวัตถุชิ้นเล็กที่เก็บของได้มาก วัตถุจื่อชื่อมีหลักการใช้เหมือนกันแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุฟางชุ่น) ก็ยุ่งยากเกินไป ถ้าสมบัติอาคมชิ้นนี้มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงทอง จะทำอย่างไร? และถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินขาวก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ดังนั้นการซื้อขายของสำนักใหญ่บนภูเขาจึงต้องมี ‘เงิน’ ให้ใช้โดยเฉพาะ
เพียงไม่นานพวกเขาก็สามารถมองเห็นภูเขาเสินซิ่วในระยะประชิด
ภูเขาเสินซิ่วสูงอย่างยิ่ง
หากไม่เป็นเพราะยังมีภูเขาพีอวิ๋นอยู่ ภูเขาลูกนี้ก็คงเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านงดงามมากที่สุด มากพอจะสยบหมู่ภูเขาที่รายล้อมได้
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “แม่นางหร่วนอยู่บนภูเขาหรือไม่?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ไม่อยู่”
ภูเขาเสินซิ่วมีหน้าผาแคบชันอยู่แถบหนึ่ง ตรงตำแหน่งที่ถูกบดบังด้วยทะเลหมอกสลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’
เว้นจากบังคับลมทะยานกลางอากาศ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณเงยหน้ามอง เกรงว่าก็คงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันได้
เพราะตอนนั้นอาจารย์หร่วนได้ตั้งกฎไว้ว่า หากอยู่ในขอบเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดก็ห้ามบินกลางอากาศโดยพลการ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่รอบๆ ต้าหลีเจอปัญหากันเยอะมาก หากจะบอกว่าความคับแค้นใจระบือไปทั่วก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!