เฉาซีไม่มีเมล็ดแตงให้แทะแล้ว จึงปัดมือลุกขึ้นยืน เดินกลับเข้าไปในลานบ้านพร้อมสั่งความเฉาจวิ้น “ช่วงนี้เจ้าก็เลิกร้อนรุ่มวุ่นวายใจได้แล้ว ตอนนี้ราชวงศ์ต้าหลีคือสถานที่ที่ต้องช่วงชิง ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด”
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เข้าใจแล้ว”
“เข้า ใจ แล้ว?”
เฉาซีเน้นย้ำทีละคำ สุดท้ายหัวเราะหยัน “สามคำนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดออกมาจากปากด้วยซ้ำ” (เข้าใจแล้วในที่นี้คือ 知道了หากแยกทีละคำจะแปลว่า รู้/เข้าใจ ในมรรคา แล้ว)
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างไม่แยแสโลก “รู้แล้วน่า”
เฉาซีก้าวยาวๆ เข้าไปในบ้านพลางสบถอย่างเคียดแค้น “สวะขอบเขตเก้า!”
เฉาจวิ้นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของบ้านติดกัน ยื่นถังน้ำคืนให้กับเด็กสาว ถามชวนคุย “ซ่งจี๋ซินไม่ได้กลับมาด้วยหรือ?”
นางตอบไม่ตรงคำถาม “แม่ไก่กับลูกเจี๊ยบฝูงนั้นของข้าอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหรอหลา “ข้าไม่รู้หรอก”
เด็กสาวมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดแล้วพลันยิ้มกว้างสดใส ไม่ซักไซ้ถามเรื่องเดิมอีก แต่นางยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ทำมือวาดท่าประกอบ “ตอนนี้ซ่งมู่สูงกว่าเจ้าตั้งเท่านี้แล้ว”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านตัวเอง
เขาเพิ่งจะไขกุญแจเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นทันทีว่าตัวอักษร ‘ฝู’ กลับหัวที่แปะไว้เหนือประตูบ้านตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาพลันโมโหเดือดดาล เดินดิ่งเข้าไปที่กำแพงบ้านซึ่งกั้นกลางระหว่างสองบ้านทันที “จื้อกุย ตัวอักษรฝูในบ้านข้าหายไปไหน?!”
จากนั้นเขาที่เดือดจัดก็กลับหัวเราะ ที่แท้ตัวอักษรฝูตัวนั้นไปแปะอยู่บนประตูบ้านของบ้านข้างๆ
โจรคนนี้ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง
เด็กสาววางถังน้ำไว้ในห้องครัวแล้วเดินนวยนาดออกมา พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้หรอก”
คำตอบเหมือนกันกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “คืนมาให้ข้า!”
จื้อกุยเบิกตาโต “แล้วทีเจ้าไปขยับหุ่นไม้ที่ข้าตั้งใจวางไว้ในห้องครัว ข้ายังไม่ว่าอะไรเจ้าเลยนะ”
เฉินผิงอันพลันพูดไม่ออก เพราะเขาทำอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
จู่ๆ จื้อกุยก็ถามว่า “ฉีจิ้ง…ที่โรงเรียนของอาจารย์ฉี เจ้าไปแปะกลอนปีใหม่หรือยัง?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ไปแปะแล้ว ทั้งกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝู”
เฉินผิงอันไม่อยากจะทะเลาะกับนางจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบตัวอักษรฝูที่เหลือออกมา หาบันไดมาวางพาดแล้วติดตัวอักษรฝูกลับหัวตัวใหม่อีกครั้ง
เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกำแพงบ้านเอ่ยเตือน “เบี้ยวแล้ว”
เฉินผิงอันไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วแตะแป้งเปียกเข้ากับกระดาษสีแดงสดปลั่งเบาๆ
เด็กสาวกล่าวอย่างร้อนใจ “จริงๆ นะ ข้าจะหลอกเจ้าไปไย ทำไมเจ้าเฉินผิงอันถึงไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากติดตัวอักษรฝูเบี้ยวจะไม่เป็นมงคล”
เฉินผิงอันเดินลงบันได เงยหน้าขึ้นมองด้วยตัวเอง ไม่เบี้ยวจริงๆ
เด็กสาวยังคงพูดจ้อไม่หยุด “เบี้ยวจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเจ้าให้พวกผู้ฝึกตนอย่างเฉาซีมาดูสิ แล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า เจ้ามีสายตาของมนุษย์ธรรมดา ต่อให้จะสายตาดีแค่ไหนก็สู้พวกเราไม่ได้”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังดังปัง
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เด็กหนุ่มก็เขย่งปลายเท้ามาเปิดประตู ย่องข้ามธรณีประตูออกมาอย่างเงียบเชียบ เบิกตากว้างจ้องเขม็งไปยังตัวอักษรฝูตัวนั้น
ไม่ได้เบี้ยวสักหน่อย
จื้อกุยแง้มประตูเปิดด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ยื่นหน้าออกมาพูดอย่างเคร่งเครียด “เบี้ยวจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย เขาไปยกม้านั่งมานั่งอาบแดดตรงหน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มฝึกขึ้นรูปเครื่องปั้น
จื้อกุยยืนอยู่ตรงกำแพงในลานบ้านตัวเอง มองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นช่างเผาเครื่องปั้นอีกแล้ว มองอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงกลับไปนอนในห้องตัวเอง
นางนอนลงบนเตียง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาเคยมีคนจิ๋วควันธูปก่อกำเนิดมาคนหนึ่ง ระดับสูงมาก ร่างเป็นสีทองอร่าม ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นสีทองทั้งร่างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่พอจะยัดซอกฟันของนาง
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!