กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 198

กระบี่จงมา – บทที่ 198.1 เด็กหนุ่มอยากเดินทางไกล
บทที่ 198.1 เด็กหนุ่มอยากเดินทางไกล
โดย
ProjectZyphon
อริยะกล่าวว่า สวรรค์จะมอบภารกิจสำคัญให้แก่ใคร จำเป็นต้องทดสอบขัดเกลาจิตใจ ใช้ความหิวโหยและความเหนื่อยยากมาทดสอบร่างกายของคนผู้นั้นก่อน

เว่ยป้อมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแทบทุกวันเพื่อนำตัวยาล้ำค่าจากร้านผ้าห่อบุญมามอบให้เฉินผิงอัน

สำหรับสภาพอเนจอนาถที่เฉินผิงอันต้องเผชิญยี่สิบกว่าวันมานี้ แม้เว่ยป้อจะพูดไม่ได้ว่ารู้สึกเห็นอกเห็นใจราวกับตัวเองก็เผชิญในสิ่งเดียวกัน แต่สำหรับความอดทนของเฉินผิงอัน รวมไปถึงความโหดเหี้ยมของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนั้นล้วนทำให้เว่ยป้อตกตะลึงและแปลกใจอย่างมาก

นี่ต้องเป็น ‘ภารกิจสำคัญ’ ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงจำเป็นต้องเผชิญกับหายนะขนาดนี้? คงไม่ถึงขั้นที่ว่า เมื่อใต้หล้าเกิดกลียุค มีข่าวร้ายส่งมาจากภูเขาห้อยหัวแล้วต้องให้เด็กหนุ่มเฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่สังหารศัตรูนับล้านหรอกกระมัง?

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ขนาดตัวเว่ยป้อเองก็ยังรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี

ท้องฟ้าสูงแค่ไหน ผืนดินนั้นกว้างขวางเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าแจกันสมบัติทวีปยังเป็นแค่ทวีปที่เล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดยังมีนาตยทวีปที่เขียวขจีไปด้วยผืนป่า เซียนกระบี่พสุธาที่พลังการต่อสู้สูงล้ำอย่างเฉาซี เมื่ออยู่ในทักษินาตยทวีปก็ยังยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุด นักพรตที่อยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาอย่างแท้จริงต้องเป็นอย่างพวกบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่นอิงเท่านั้น

ระหว่างนี้ซ่งอวี้จางเทพภูเขาลั่วพั่วเคยมาขอพบเว่ยป้อครั้งหนึ่ง เว่ยป้อพูดคุยกับเขาอย่างเฉยชาแค่ไม่กี่คำ แตกต่างจากความกระตือรือร้นและเกรงอกเกรงใจตอนพบกันครั้งแรกมากนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีแก่ใจ ซ่งอวี้จางต้องการเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ภักดีอย่างโง่เขลา ทุกอย่างล้วนเอาผลประโยชน์ของต้าหลีเป็นที่ตั้ง ครานั้นตอนที่อยู่ในศาลเทพภูเขาบนยอดเขา ต่อให้อยู่ต่อหน้าเว่ยป้อ ซ่งอวี้จางก็ยังพูดเรื่องของเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมา เว่ยป้อเองก็ไม่ใช่รูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ที่ไร้โมหะ ทั้งสองจึงจากลากันอย่างไม่สบอารมณ์

วันนี้เว่ยป้อหิ้วห่อผ้าเดินขึ้นยอดเขาอย่างสบายอารมณ์ เมื่อมาถึงเรือนไม้ไผ่ก็พบว่าเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใกล้ราวระเบียงด้านหน้าห้องฝึกบนชั้นสองเพิ่งจะฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งเสร็จ อีกทั้งยังมีอารมณ์เป็นฝ่ายโบกมือทักทายเขาก่อน เว่ยป้อโยนห่อผ้าที่มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ปรายตามองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผาแวบหนึ่ง ก่อนวิ่งเหยาะๆ ขึ้นไปบนชั้นสองจนเกิดเสียงตึงๆๆ ดังเป็นระลอก ไม่มีมาดของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่กำลังจะได้รับพระราชโองการทองคำอะไรเลย กลับเหมือนลูกจ้างในโรงเตี๊ยมเสียมากกว่า

แม้ว่าอีกเดี๋ยวเฉินผิงอันก็จะต้อง ‘มุ่งหน้าสู่ลานประหาร’ แล้ว แต่เขาก็ยังพูดพลางอมยิ้มน้อยๆ ได้ว่า “ลำบากเว่ยเซียนซือแล้ว”

“ไม่ลำบากๆ แค่เดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แถมทุกวันยังได้เดินชมทัศนียภาพ อีกอย่างข้าเองก็เป็นเทพภูเขา เดิมทีก็มีหน้าที่ต้องสำรวจตรวจตราพื้นที่บนภูเขาอยู่แล้ว”

เว่ยป้อใช้ข้อศอกอิงราวระเบียง หันหน้ามามองเด็กหนุ่ม “ดื่มเหล้าไปแค่เกือบครึ่งกาเท่านั้น มันได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม พอดื่มเข้าไปแล้ว อารมณ์ก็แตกต่างไปจากเดิม”

เว่ยป้อพยักหน้า “เป็นเรื่องดี”

น้ำเสียงขุ่นมัวหนาหนักของผู้เฒ่าดังออกมา “เข้ามาเสวยสุขได้แล้ว!”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ บอกลาเว่ยป้อ เว่ยป้อได้แต่ยิ้มจืด เสวยสุข? ตาเฒ่านี่ก็ช่างพูดออกมาได้

คำพูดว่าปลดเกราะ (หมายถึงทหารที่ปลดเสื้อเกราะ แสดงว่าไม่ทำศึกอีกแล้ว หรืออาจแฝงความหมายถึงการยอมแพ้) ฟังแล้วน่าสนใจมากใช่ไหมล่ะ? แต่ความจริงล่ะเป็นอย่างไร? ความจริงก็คือต้องให้เฉินผิงอันฉีกผิวหนังชั้นนอก งัดเล็บของตัวเองออก!

ส่วนคำพูดว่าสาวไหม แท้จริงแล้วก็คือบอกให้เฉินผิงอันดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมา!

วิธีการที่โหดร้ายทารุณเช่นนี้ การทดสอบจิตใจคนอย่างแท้จริงอยู่ที่ จงใจให้เฉินผิงอันลงมือด้วยตัวเอง แถมยังต้องเบิกตามอง และทำอย่างรวดเร็วไม่ได้ ต้องค่อยๆ ‘สาวเส้นไหม’ ให้กับตัวเองไปทีละนิด

แต่นอกจากความรู้สึกขนหัวลุกแล้ว เว่ยป้อเองก็ค่อนข้างคาดหวังและรอคอยที่จะได้เห็นพัฒนาการของขอบเขตวรยุทธ์เฉินผิงอัน

ขอบเขตสามที่ปูพื้นฐานด้วยการผ่านความทรมานเช่นนี้ จะต้องหนาและมั่นคงมากเท่าใด วันหน้าเวลาประหัตประหารกับศัตรู พลังการต่อสู้จะต้องแข็งแกร่งมากเท่าใด?

เฉินผิงอันถอดรองเท้าแตะเดินเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า พอปิดประตูแล้วก็พบว่าผู้เฒ่าที่กำลังนั่งขัดสมาธิเปิดอ่าน ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ขมวดคิ้วมุ่น

วันนี้ขณะที่เฉินผิงอันกำลังฝึกท่าเจี้ยนหลู จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ บอกว่าอยากจะเห็นตำราหมัดของท่าเจี้ยนหลูและท่ายืนนิ่งนี้สักหน่อย เฉินผิงอันอธิบายโดยใช้คำพูดไม่ต่างจากที่เคยบอกแม่นางหนิงไว้ บอกว่าวิชาหมัดนี้เขาเก็บรักษาแทนคนอื่นชั่วคราว ไม่ใช่ของเขาเฉินผิงอัน วิชาหมัดและภาพที่บันทึกไว้ในตำราไม่สามารถแพร่งพราย ฯลฯ ทำเอาผู้เฒ่าโมโหจนเกือบจะลงมือสั่งสอนเด็กหนุ่มเสียตรงนั้น

“นี่ก็คือตำราหมัดเขย่าขุนเขานั่นหรือ?”

ผู้เฒ่าโยนตำราหมัดให้เด็กหนุ่มแล้วหัวเราะเฮอๆ กล่าวด้วยใบหน้าที่มีแต่ความดูแคลน “บทคำนำของวิชาหมัดกล่าวไว้ว่า ‘บ้านเกิดมีแมลงน้อยที่เรียกว่ามดตะนอย ชั่วชีวิตของมันแปลกแยกไปจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกมันล้วนย้ายหินภูเขาลงน้ำ’ ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นชาวบู๊ในยุทธภพที่มาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป เจ้าลองฟังภาษาที่ไอ้หมอนี่ใช้ดูสิ กลิ่นอายบ้านนอกเต็มเปี่ยม พอจะรู้ได้เลยว่าชีวิตของอาจารย์หมัดมวยที่เขียนตำราหมัดเล่มนี้คงไม่ได้ดิบได้ดีเท่าไหร่กระมัง?”

“ยังดีที่ไอ้หมอนี่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง จึงเขียนประโยคหนึ่งไว้ในตำราหมัดอย่างชัดเจนว่า ‘ไม่เคยกระโดดขึ้นเป็นตำราหมัดชั้นสูงของโลก’ ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสคงต้องด่าว่าเขาหน้าไม่อายไปแล้ว”

“ ‘วิชาหมัดของข้า แบ่งเป็นตายแต่ไม่แบ่งแพ้ชนะ ให้ความสำคัญกับปณิธานแห่งหมัด ไม่เน้นกระบวนท่าหมัด’ จุ๊ๆ ประโยคนี้ช่างพูดได้ใหญ่โตเหมือนคางคกสกปรกที่แค่อ้าปากก็หวังกลืนฟ้ากินดิน เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวิชาหมัดถึงเขียนบรรยายไว้อย่างนี้? ง่ายมาก เพราะหากแบ่งแพ้ชนะ ย่อมต้องแพ้มากกว่าชนะ ดังนั้นถึงได้พร่ำพูดว่าแค่แบ่งแยกเป็นตาย เพราะอย่างมากก็แค่ตายให้จบๆ กันไปไงล่ะ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากตำราหมัดเล่มนี้แย่ขนาดนั้น แล้วทำไมท่านผู้อาวุโสถึงจดจำเนื้อหาในตำราได้แม่นขนาดนี้เล่า?”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วิชาหมัดที่บันทึกไว้ห่วยแตกจริงๆ แต่ไอ้หมอนี่พูดจาไม่กลัวลิ้นขาด ข้าผู้อาวุโสอ่านแล้วก็ขำ จึงมองมันเป็นบันทึกท่องเที่ยวที่เอาไว้อ่านเล่นเพลินๆ เล่มหนึ่ง”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ก็ไม่พอใจนัก

เขาเห็นค่าตำราหมัดเล่มนี้มาก เห็นค่าและทะนุถนอมมันยิ่งกว่าสิ่งใด!

ลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจในตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ไม่ด้อยไปกว่าปราณกระบี่สามเส้นจากวิญญาณกระบี่เลย

หนึ่งคือยาช่วยชีวิต อีกหนึ่งคือยันต์คุ้มกันชีวิต ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ แล้วก็ไม่ควรมี อันที่จริงเฉินผิงอันเห็นประโยชน์เห็นข้อดีของตำราเขย่าขุนเขาไม่น้อย แต่หนิงเหยารู้สึกว่ามันธรรมดามาก แค่ฝึกหมัดไปตามลำดับขั้นตอนก็พอแล้ว และนางก็ไม่คิดว่ามันจะสร้างความสำเร็จให้ได้สักเท่าไหร่ จูเหอที่เคยเห็นการเดินนิ่งยืนนิ่งของเฉินผิงอันกับตาตัวเองก็ไม่รู้สึกว่าน่าทึ่งตรงไหน

แต่เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!