บุรุษไม่ได้สวมงอบแล้ว
เฉินผิงอันเหม่อมองบุรุษผู้นี้พลันพูดอะไรไม่ออก
สองบ่าวชุนสุ่ยและชิวสือสะดุ้งโหยง รู้สึกโมโหที่คนผู้นี้ทำตัวเหลวไหลไม่ยอมทำตามกฎ
เรือคุนก็คือ ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ แห่งหนึ่งจึงมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นห้ามต่อสู้กันเอง หากมีข้อพิพาทจำเป็นต้องแจ้งให้แก่ผู้ดูแลเรือคุนทราบ ไม่สามารถใช้เวทคาถาได้โดยพลการ หากมีมนุษย์ธรรมดาขึ้นมาบนเรือ ห้ามรังแกตามใจชอบ เป็นต้น กฎเกณฑ์แต่ละข้อล้วนยิบย่อย เพียงแต่ว่าสำนักที่มีศักยภาพมากพอให้ซื้อตั๋วขึ้นเรือคุนเพื่อทำการค้าข้ามทวีปล้วนเป็นกองกำลังบนภูเขาอันดับต้นๆ โดยทั่วไปแล้วบนเรือทุกลำจะต้องจัดให้มีนักพรตและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวระดับสูง ขณะเดียวกันก็จ้างผู้ฝึกตนอิสระที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาไว้เป็นจำนวนมาก นี่คือสิ่งสำคัญในสำคัญอีกที เพราะหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว กฎเกณฑ์นั้นตายตัว หมัดต่างหากถึงจะมีชีวิตจริง
ด้วยเหตุนี้ในระเบียงแต่ละเส้น บนผนังแต่ละด้านจึงมีการเอากิ่งไม้ใบไม้มาประดับตกแต่งเพื่อให้เป็นที่พักพิงของวัตถุวิเศษชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าจักจั่นกาลเวลา มันไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนได้ทั้งวันและคืน สามารถจับภาพเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้ และริ้วคลื่นลมปราณที่เล็กละเอียดที่สุดก็ล้วนหนีไม่พ้นการรับสัมผัสของพวกมัน หากจักจั่นกาลเวลาถูกคนฆ่าตายก็จะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนบาดหู ดังนั้นเรือคุนจึงใช้มันในการจับตามองพวกโจรขโมยต่างๆ
ต้องรู้ว่าในบรรดาผู้ฝึกลมปราณก็มีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน อีกทั้งการฝึกตนนี้ ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจมักจะขยายกว้างไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีวิชาคาถาชั้นดีแบบถูกต้องตามหลักช่วยในการสงบจิตใจก็มักจะเดินไปในเส้นทางที่สุดโต่งเสมอ ได้แต่อาศัยความชื่นชอบของตัวเองในการลงมือทำเรื่องต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสาน บวกกับที่เดิมทีการฝึกตนก็เป็นเหมือนถ้ำที่ไร้ก้น แม้จะมีภูเขาเงินภูเขาทองก็ถูกผลาญได้เกลี้ยงอยู่ดี หากคนไม่มีช่องทางทำเงินเพิ่มเติมย่อมไม่มีทางรวย อีกอย่างก็คือหลักการแสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดคนที่มีจิตใจชั่วร้าย
เฉินผิงอันร้องหึหนึ่งที จากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข
เขาก็คืออาเหลียง
บุรุษมีท่าทางมอมแมม เปลือยเท้า ชายแขนเสื้อม้วนขึ้น สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่สายตาเป็นประกายเจิดจ้า พลังอำนาจเปี่ยมล้น
นี่แตกต่างไปจากบุรุษที่จูงลาพกดาบไม้ไผ่ในเวลานั้นอย่างมาก ตอนนั้นบุรุษที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงเอ้อระเหยลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัย ชอบพูดเย้าแย่ ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้โม้ อาศัยพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่เวลานี้บุรุษไม่ได้สวมงอบเหมือนตอนที่เดินทางในยุทธภพ ไม่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงิน แม้แต่ดาบไม้ไผ่ก็ยังไม่มี เมื่อเขามาโผล่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันกะทันหัน ตอนอยู่ขอบเขตสอง เฉินผิงอันมองตื้นลึกหนาบางของอาเหลียงไม่ออก ถึงขั้นรู้สึกว่าจูเหอก็อาจจะประมือกับอาเหลียงได้
แต่เมื่อเปลี่ยนจากขอบเขตสองมาเป็นขอบเขตสาม ต่างกันแค่ขอบเขตเดียว พอมามองอาเหลียงอีกครั้ง เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับท่านปู่ของชุยฉานในเรือนไม้ไผ่ที่ทรงพลังน่าเกรงขาม อาเหลียงที่อยู่ตรงหน้ามีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า แต่ก็เพราะอาเหลียงลงมือน้อยครั้ง เฉินผิงอันจึงยังคงมองอะไรไม่ออก
แต่นี่จะสำคัญตรงไหนล่ะ? ได้พบกับอาเหลียงอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เฉินผิงอันหัวเราะแล้วก็…อยากจะดื่มเหล้ายิ่งนัก
อาเหลียงยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง เห็นคู่พี่น้องฝาแฝดชุนสุ่ยชิวสือแล้วดวงตาก็เปล่งประกายวาบ รีบเอนตัวพิงราวระเบียง วางท่าที่ตัวเองคิดว่าสง่างามมากที่สุด เอามือข้างหนึ่งทาบบนหน้าผาก จากนั้นก็ปัดเส้นผมขึ้นด้านบน “แม่นางทั้งสอง สวัสดี ข้าชื่ออาเหลียง ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”
ชุนสุ่ยมีนิสัยหนักแน่นมั่นคงจึงไม่ได้เอ่ยอะไรโต้ตอบ แต่น้องสาวชิวสือกลับมีนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อนโผงผาง อีกอย่างชายตรงหน้าผู้นี้ก็ทำผิดกฎก่อน เด็กสาวที่มีชื่อว่า ‘ชิวสือ’ แต่กลับมีเรือนกายเพรียวบางขมวดคิ้วถามด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร บนเรือคุนลำนี้ของพวกเรา นอกจากเจอเหตุการณ์คับขันกลางทะเลเมฆ หาไม่แล้วก็ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารคนใดใช้เวทคาถา ยิ่งไม่อนุญาตให้บุกเข้ามาในห้องคนอื่นโดยพลการ!”
กล่าวจบเด็กสาวก็หัวเราะพรืด “ยังจะบอกว่าชื่ออาเหลียง ทำไม เจ้าก็คือเทพเซียนใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้าคนนั้นน่ะหรือ หากใช่จริงๆ เจ้าจะยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์หรือไม่? ข้าขอร้องเจ้าล่ะ”
อาเหลียงหัวเราะชั่วร้าย “ข้าเดินทางอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยรับลูกศิษย์อย่างจริงจังสักคน ช่วยไม่ได้ เวทกระบี่สูงเกินไปก็ย่อมทำให้คนอื่นละอายใจที่สู้ไม่ได้ ถึงขนาดไม่กล้ามีความคิดจะกราบข้าเป็นอาจารย์ แม่นางน้อย เจ้าเป็นคนแรกที่พูดตรงขนาดนี้ ข้าชอบ!”
ชิวสือกำลังจะพูดเสียดสีต่อ แต่ถูกพี่สาวชุนสุ่ยจับข้อมือเบาๆ จะอย่างไรแล้วชิวสือก็เป็นบ่าวของเรือนอักษรเทียนที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แม้จะโมโหที่ชายตรงหน้าไม่รักษากฎและพูดจาลื่นไหลส่งเดช แต่สุดท้ายก็ยังหยุดคำพูดที่มารออยู่ตรงปากเอาไว้ ชุนสุ่ยละเอียดรอบคอบกว่าชิวสือมาก จะอย่างไรซะบุรุษตรงหน้าก็เป็นสหายของแขกสูงศักดิ์อย่างเฉินผิงอัน อีกทั้งยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน เรือคุนแห่งภูเขาต่าเจี้ยวของพวกนางต้องรักษากฎก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นคร่ำครึตายตัว หาไม่แล้วกิจการที่ได้น้ำร้อนน้ำชามาเป็นกอบเป็นกำนี้คงถูกคนอื่นแย่งชิงไปนานแล้ว เมื่อออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ปรองดองก่อเกิดทรัพย์คือหลักการที่ใช้ได้ดีเสมอ
ชุนสุ่ยหันไปมองเฉินผิงอันก่อน นางถามยิ้มๆ ว่า “คุณชาย ท่านผู้นี้…อาเหลียงคือเพื่อนของท่านใช่ไหม? เป็นแขกที่อาศัยอยู่ห้องอื่นบนเรือหรือเปล่า?”
ตอนที่พูดว่าอาเหลียง ชุนสุ่ยรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย
ส่วนข้อที่ว่าอาเหลียงผู้นี้ก็คืออาเหลียงคนนั้น ตีให้ตายชุนสุ่ยก็ไม่เชื่อ ก็เหมือนกับว่าหากวันหนึ่งมีคนยากจนจากตรอกเน่าเหม็นเต็มไปด้วยขี้หมาซึ่งมีชื่อเดียวกับเศรษฐีอันดับหนึ่งของหนึ่งทวีปเดินขึ้นเรือมา ใครจะรู้สึกว่าเขาก็คือเศรษฐีอันดับหนึ่งที่สูงส่งเกินจะป่ายปีนผู้นั้น?
เฉินผิงอันตอบแค่ว่า “เขาคือเพื่อนของข้า”
เมื่อเห็นว่าชุนสุ่ยยังรอคำตอบของคำถามที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง เฉินผิงอันพลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาจึงตอบยิ้มๆ ว่า “และเขาก็เป็นเพื่อนของเว่ยป้อเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีพวกเราเช่นกัน”
ปริศนาที่ค้างคาอยู่ในใจของเด็กสาวทั้งสองพลันคลายตัว
ที่แท้เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลีในแจกันสมบัติทวีปก็เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ให้นี่เอง มิน่าเล่าขนาดภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังต้องให้หน้า
เนื่องจากต้าหลีฮุบพื้นทางทิศเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป แสดงท่าทางของผู้พิชิตจอมเผด็จการ ต่อให้เป็นที่อุตรกุรุทวีปก็ยังได้ยินข่าวเรื่องนี้ บวกกับที่ก่อนหน้าที่ท่าเรือจะถูกสร้างขึ้นบนภูเขาอู๋ถงของต้าหลี เรือคุนก็เคยเดินทางผ่านเหนือพื้นที่ของต้าหลีมาก่อน ชุนสุ่ยและชิวสือคือเด็กสาวที่ภูเขาต่าเจี้ยวให้การอบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ แม้จะไม่ใช่ในด้านของการฝึกตน แต่ในฐานะหนึ่งในหน้าตาของภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งสามารถปฏิบัติต้อนรับผู้คนได้อย่างดีไม่มีข้อบกพร่อง ผูกสัมพันธ์ที่ดีกับคนมากมาย ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจถูกตาต้องใจเทพเซียนบนภูเขาคนใด หากถูกรับเป็นภรรยา สำนักของสองฝ่ายก็เท่ากับมีสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน และนี่ก็เป็นหนึ่งในความตั้งใจเดิมของภูเขาต่าเจี้ยว
ดังนั้นชุนสุ่ยจึงค่อนข้างจะเข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าหลีเป็นอย่างดี
สำหรับน้ำหนักของเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลี ไม่เพียงแต่ชุนสุ่ยเท่านั้นที่รู้หนักเบา ชิวสือน้องสาวของนางที่นิสัยเปลี่ยนแปลงไวก็รู้ชัดเจนดีเช่นกัน
ในเมื่อมีความสัมพันธ์ชั้นนี้อยู่ ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์ของเรือคุนที่เดิมทีก็มีความยืดหยุ่นมากอยู่แล้วจึงผ่อนคลายได้อีก ชุนสุ่ยรีบดึงให้ชิวสือยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อยทันที จากนั้นก็แยกตัวไปที่ห้องโถงหลัก ทิ้งเฉินผิงอันกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญให้อยู่บนหอชทมทัศนียภาพ หลังจากเดินข้ามธรณีประตูห้องหนังสือไปแล้ว ชิวสือก็เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านพี่ ต้องบอกให้ผู้ดูแลทราบสักหน่อยหรือไม่?”
ชุนสุ่ยส่ายหน้า “ไม่ต้อง อย่าวาดงูเติมหาง หากผู้ดูแลรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้เอามาใช้ประโยชน์ได้ต้องทำให้เรื่องราวใหญ่โตแน่นอน หากชายผู้นั้นเป็นเพื่อนของเทพขุนเขาเหนือต้าหลีจริงๆ ก็อาจจะพูดคุยได้ถูกคอกับนายท่านเจ้าของเรือ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะรังเกียจที่พวกเราสองคนไม่รู้ความ เจ้าคิดดูสิ ใครที่ชอบพูดจาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง?”
ชิวสือฟังความนัยจากประโยคนี้ออก จึงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านพี่ ท่านอยากไปจากภูเขาต่าเจี้ยวหรือเปล่าล่ะ?”
สายตาของชุนสุ่ยอ่อนโยน บิดหูเล็กบางของน้องสาวยิ้มๆ “น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ คนต้องเดินขึ้นสู่ที่สูง วันหน้าเมื่อตัวเองได้ดิบได้ดีแล้วถึงจะสามารถตอบแทนพระคุณเลี้ยงดูของสำนักได้ หาไม่แล้ววันๆ เอาแต่ยกน้ำส่งชา พับผ้านวมซักผ้าให้กับคนประหลาดก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควร หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าพวกเราก็เป็นผู้ฝึกลมปราณเหมือนกัน”
สีหน้าชิวสือกลัดกลุ้ม นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ท่านพี่ เอาเป็นว่าข้าเชื่อฟังท่าน ข้าคร้านจะคิดอะไรมากมายขนาดนั้น”
ชุนสุ่ยโน้มตัวไปกระซิบข้างหูน้องสาว ไม่รู้ว่าเป็นถ้อยคำที่น่าอึดอัดใจอะไรถึงทำให้ชิวสือหน้าแดงแปร๊ดทันที นางอับอายจนยืดตัวขึ้นตรง ยื่นมือไปจี้เอวพี่สาว พี่น้องสองคนจึงแกล้งกันสนุกสนาน แต่ก็คอยหันไปมองทางห้องสมุดเป็นระยะ หลีกเลี่ยงไม่ให้คุณชายเฉินผู้นั้นเห็นพวกนางเล่นกันเป็นเด็ก ต่อให้เผยอารมณ์ที่แท้จริง พี่น้องสองคนนี้ก็ยังมีท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนดุจสายน้ำ
ทางฝั่งหอชมทัศนียภาพ
อาเหลียงยื่นหน้าไปทางประตูคล้ายมองหาเรือนกายที่มีเสน่ห์ของพี่น้องคู่นั้น มือไม่ได้แตะต้อง มองด้วยสายตาก็ยังดี
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เอ่ยถาม “ทะเลาะกับคนอื่นมาหรือ?”
อาเหลียงอืมรับหนึ่งที “ใช่สิ คือเจ้าคนหน้าด้านคนหนึ่ง เป็นตะพาบเฒ่าในลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่ต่อสู้เก่งที่สุดเว้นจากมรรคาจารย์เต๋า ข้าล่ะอยากจะถุย ก็แค่อาศัยว่าฟ้าช่วยดินอำนวยและมีอาวุธคุ้มกันกายเท่านั้น ไม่เป็นไร ข้าจะกลับไปต่อยเขาคืนหมัดหนึ่งเดี๋ยวนี้แหละ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!