นอกจากนี้ทางฝ่ายเรือคุนยังจัดหาสาวใช้มาให้เขาสองคน คนหนึ่งตามว่าชุนสุ่ย อีกคนนามว่าชิวสือ คนหนึ่งรูปร่างอิ่มเอิบ อีกคนเพรียวบาง แม้ว่ารูปร่างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเป็นพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาบุคลิกเหมือนกันมาก
พวกนางรับผิดชอบปรนนิบัติเรื่องการกินอยู่ของแขกผู้ทรงเกียรติอย่างเฉินผิงอัน เวลาพูดจาใช้น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล หลุบตาลงต่ำ เฉินผิงอันทำตัวไม่ถูก เขาหรือจะกล้ารับน้ำใจครั้งจากสาวงาม ดังนั้นจึงยังคงทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ไม่ว่าเด็กสาวทั้งสองจะโน้มน้าวอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังยืนกรานในความคิดของตัวเอง เป็นเหตุให้เมื่อม่านราตรีเยื้องกรายลงมา เฉินผิงอันขอน้ำล้างเท้าหนึ่งอ่าง เอาสองเท้าที่เต็มไปด้วยหนังด้านแช่ลงไปในน้ำร้อนๆ เด็กสาวสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงมีสายตาไม่ใคร่จะพอใจนัก เฉินผิงอันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พวกนางไปพักผ่อนที่ห้องด้านนอกได้ เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แช่เท้าอยู่ในอ่างน้ำ กวาดตามองไปรอบด้าน
เด็กสาวสองคนนั่งอยู่นอกห้อง เอียงหัวกระซิบกระซาบกันเสียงแผ่วเบาด้วยภาษาบ้านเกิดอย่างภาษาอุตรกุรุทวีป พวกนางพากันคาดเดาถึงตัวตนของเด็กหนุ่มอย่างใคร่รู้ อยากรู้ว่าทำไมนายท่านผู้เฒ่าผู้ดูแลเรือถึงให้ความสำคัญขนาดนี้ ถึงขนาดมอบป้ายห้อยเอวอักษรตัวเทียน (สวรรค์/ฟ้า) ให้ได้ จากนั้นก็คุยกันถึงเรื่องประเพณีวัฒนธรรมของต้าหลีที่ได้ยินคนเล่ามา รวมไปถึงเรื่องราวประหลาดน่าสนใจในช่วงวันปีใหม่ของบุรพแจกันสมบัติทวีปปีนี้ พูดถึงเรื่องของเซียนบางคนที่ปรากฎตัวในปีนี้ซึ่งสวมเสื้อสีเขียวจากภูเขาชิงเสิน และผ้าคลุมไหล่นั้นก็เหมาะสมกับบุคลิกของพวกนาง ปิ่นไข่มุกบนศีรษะที่มาจากวังมังกรนั้นเปล่งประกายของอัญมณีที่แท้จริง ไม่ว่ามองอย่างไรก็งดงาม
บนโต๊ะมีถาดกระเบื้องสีเขียวอยู่ใบหนึ่ง ด้านในวางผลไม้สดใหม่ไว้จนเต็ม กลิ่นหอมสะอาดลอยกรุ่น เป็นผลไม้ที่มาจากภูเขาใหญ่หลายแห่งของอุตรกุรุทวีป ซื้อมาด้วยราคาสูง แถมยังมีปราณวิญญาณอ่อนจางแผ่ออกมา
เด็กสาวฝาแฝดที่มีลักษณะท่าทางเหมือนกันได้แต่เหลือบมองไม่กี่ที ไม่กล้ายื่นมือไปหยิบโดยพลการเด็ดขาด
เมื่อเสียงฝีเท้าของเฉินผิงอันดังขึ้น ชุนสุ่ย ชิวสือสองเด็กสาวก็รีบลุกขึ้นยืนรอฟังคำสั่งอย่างนอบน้อมทันที เหลือบเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงสวมรองเท้าสานคู่นั้น ต่อให้อยู่ในห้องก็ยังไม่ยอมปลดกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังลง หางตาเด็กสาวหันมาสบกัน มุมปากของทั้งสองต่างก็ยกยิ้ม ก็แค่รู้สึกสนใจเท่านั้น พวกนางไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายหรอก
อีกอย่างบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวแห่งนี้ ทุกปีจะบรรทุกคนและสินค้าข้ามผ่านสามทวีป ไปกลับหนึ่งรอบ ในฐานะสาวใช้ของห้องอักษรตัวเทียน (เป็นการแบ่งระดับในสมัยโบราณ มีแบ่งเป็นเทียน/ฟ้า ตี้/ดิน เสวียน/ดำ และหวง/เหลือง ซึ่งอักษรตัวเทียนคือระดับหนึ่ง ระดับสูงสุด) เด็กสาวสองคนเคยเห็นผู้ฝึกลมปราณลักษณะประหลาดมาหลายคนแล้ว พวกนางถึงขั้นรู้สึกว่าแขกผู้มีเกียรติของต้าหลีที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะมีอายุถึงสี่สิบห้าสิบปีแล้วก็ได้ เพราะนี่ถือเป็นเรื่องที่ปกติมากบนภูเขา เวลาที่ออกจากบ้านเดินทางไกล เห็นคนที่มีอายุน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระวังตัวให้มากเท่านั้น อย่าได้ไปท้าทายคนจำพวกนี้ง่ายๆ เด็ดขาด
ชิวสือเข้าไปยกอ่างน้ำล้างเท้าออกมาเทข้างนอก ชุนสุ่ยถามเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่าอยากฟังพิณหรือไม่ คืนนี้บนเรือคุนมีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกับเทพธิดาจากหอหวงเหลียงได้รับเชิญให้มาดีดพิณ แขกผู้มีเกียรติในห้องอักษรเทียนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินก็สามารถไปนั่งฟังที่ห้องส่วนตัวได้ ตอนนี้เฉินผิงอันยังสะพาย ‘กำจัดปีศาจ’ ที่หร่วนฉงเป็นผู้หลอมเอาไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้าจึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม นี่ทำให้ชุนสุ่ยผิดหวังเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะหากแขกสูงศักดิ์อย่างเฉินผิงอันยอมไป ต่อให้จะแค่แกล้งทำว่ามีรสนิยมในด้านศิลปะก็ตาม นางกับชิวสือน้องสาวที่ชื่นชอบเสียงพิณของเซียนท่านนั้นจริงๆ ก็จะได้โอกาส ‘ชำระล้างหู’ ไปด้วย
คนส่วนใหญ่ในหอหวงเหลียงของอุตรกุรุทวีปมักจะเป็นผู้หญิง และแทบทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญศาสตร์ดีดพิณ หมากล้อม วาดภาพและชงชา เป็นเทพธิดาที่เชี่ยวชาญศิลปะบางแขนงอย่างแตกฉาน ซึ่งจะได้รับการเรียกขานที่งดงามอย่าง ‘ดวงตากระจ่างใส’ ‘หัวใจสงบนิ่ง’ ‘ชำระล้างหู’ เสียงเพลงของเทพธิดาที่อยู่บนเรือท่านนี้ได้รับคำเชยชมว่าสามารถ ‘ชำระล้างหู’ ได้ หนึ่งก็เพราะเสียงพิณที่พลิ้วดังมาจากใต้นิ้วมือนางนั้นไพเราะเสนาะหู สองเรื่อง ‘ชำระล้างหู’ นี้ก็เป็นของแท้แน่นอน เมื่อเสียงพิณดังเข้าหู จะสามารถชะล้างสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องโพรงส่วนหูให้สะอาดเอี่ยมได้
ชุนสุ่ยกับชิวสือเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนมาเจ็ดปีแล้ว แต่เนื่องจากพรสวรรค์ธรรมดา ตอนนี้จึงยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง ยังไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในนามของภูเขาต่าเจี้ยวด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้ประสิทธิภาพของการ ‘ชำระล้างหู’ จากเสียงพิณจะน้อยนิดแค่ไหน แต่เด็กสาวทั้งสองก็ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้สะสมตบะเสี้ยวหนึ่งนี้ไป
เฉินผิงอันไม่รู้ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ หรือต่อให้รู้ความจริงแล้ว ด้วยนิสัยระมัดระวังของเขาก็ไม่มีทางไปฟังเสียงพิณอะไรนี่แน่นอน ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างเขาที่ไม่เคยเห็นแม้แต่พิณโบราณสักชิ้น อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าติดตัว ไหนเลยจะกล้าทำตัวผยองโอ้อวดตัวเองไปทั่ว
เด็กสาวสองคนไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่กลับยังต้องอยู่ในห้องหนึ่งของเรือนตัวอักษรเทียนแห่งนี้ คนทั้งสามจึงต้องนั่งมองหน้ากันไปมา เวลานี้เฉินผิงอันยิ่งรู้สึกอิจฉาเว่ยป้อมากขึ้นไปอีก หากเขามานั่งอยู่ในตำแหน่งของตน สองฝ่ายต้องพูดคุยกันถูกคอไปนานแล้ว ไหนเลยจะตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้
อันที่จริงชุนสุ่ยและชิวสือต่างก็ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร กลับกันยังรู้สึกแปลกใหม่ เพราะอย่างไรซะแขกอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็หาได้ยาก แขกที่ผ่านๆ มาก็มีคนที่นิสัยประหลาด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความประหลาดเช่นนิสัยเย็นชารักสันโดษเสียมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นมีแขกคนหนึ่งที่นิสัยประหลาดถึงขั้นที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูทุกมุมในห้องด้วยตัวเอง เสาคานต้องเช็ด ใต้เตียงก็ต้องเช็ด ยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งวัน แถมยังไม่ยอมให้พวกนางช่วยเหลือ ราวกับว่าหากมีฝุ่นเม็ดหนึ่ง ฝุ่นเม็ดนั้นจะตกอยู่บนหัวใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น
และยังมีแขกบางส่วนที่กลัวความมืดมาก จะต้องหยิบไข่มุกส่องสว่างที่ขนาดใหญ่โตหลายเม็ดออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น วางไว้บนโต๊ะ วางไว้บนเตียง กลายเป็นว่าทั้งห้องสว่างจ้าจนแสบตา
นอกจากนี้ยังเคยมีผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่พาศพแห้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ศพแห้งเหล่านั้นล้วนเป็นสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัว แถมแต่ละศพยังสวมชุดสีเขียวสีแดง สวมเครื่องประดับสีสด ทาชาดสีแดง เคลื่อนไหวได้ตามใจต้องการ เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้ ภาพเหตุการณ์นั้นน่าขนลุกขนพอง ทำเอาสาวใช้ทั้งสองที่นอนอยู่ในห้องหวาดผวาจนข่มตาหลับไม่ลงสักคืน ด้วยกลัวว่าหากไม่ทันระวัง ฟ้าสางเมื่อไหร่ตนจะกลายเป็นหนึ่งในศพแห้งเหล่านั้น
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามัวเอาแต่จ้องมองกันอยู่อย่างนี้คงไม่ดี อีกอย่างเขาก็ไม่สะดวกจะฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งต่อหน้าคนนอก จึงได้แต่แข็งใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนโดยการถามด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่คล่องนัก “แม่นางชุนสุ่ย แม่นางชิวสือ ภูเขาต่าเจี้ยวของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนของอุตรกุรุทวีปหรือ?”
พอเขาเปิดปากพูด เฉินผิงอันก็ค้นพบว่าบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก เพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวสองคนนั้นจะเชี่ยวชาญการพูดคุยมาตั้งแต่เกิด หลังจากนั้นเขาก็แทบไม่ต้องสอดปากถามอะไร แค่เงี่ยหูตั้งใจฟังก็พอ เป็นเหตุให้ตอนที่เฉินผิงอันเชื้อเชิญให้พวกนางหยิบผลไม้กินดับกระหายด้วยท่าทางเกรงใจ เด็กสาวจึงตอบรับหน้าแดงก่ำ คนหนึ่งเบี่ยงหน้าไปกิน อีกคนหนึ่งอธิบายเรื่องภูเขาต่าเจี้ยวให้เฉินผิงอันฟังต่อ พอคนหนึ่งพูดเหนื่อยแล้ว เด็กสาวอีกคนก็รับช่วงต่อทันที เฉินผิงอันถึงกับฟังเพลิน
ที่แท้ภูเขาต่าเจี้ยวก็คือพรรคใหญ่ดั้งเดิมของอุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่มีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนเฝ้าบัญชาการณ์มาเป็นเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว เป็นเหตุให้ต้องตัดคำว่าสำนักออกจากชื่อของสำนักตัวเองตามกฎ ลดระดับจากสำนักต่าเจี้ยวมาเป็นภูเขาต่าเจี้ยวเหมือนตอนที่บรรพจารย์เพิ่งเปิดขุนเขา แต่ในรุ่นบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวก็เคยใช้ชีวิตกันอย่างมีเกียรติมาก่อน ช่วงเวลาที่อยู่ในขอบเขตสูงสุดเคยมีเทพเซียนห้าขอบเขตบนถึงสองท่าน จะเรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป แม้ว่าบุรพาจารย์สองท่านในสำนักต่างก็อยู่ในขอบเขตหยกดิบที่เป็นขอบเขตแรกของห้าขอบเขตบน หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่านักพรตขอบเขตสิบเอ็ด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสำนักมีหยกที่ยังไม่ได้เจียรนัยสองก้อนก็ถือว่าเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของสำนักแล้ว
แม้ว่าเด็กสาวทั้งสองจะไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาต่าเจี้ยวที่แท้จริง แต่กลับมีความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง พวกนางเล่าตำนานอันมหัศจรรย์เกี่ยวกับบรรพบุรุษของสำนักมากมายให้เฉินผิงอันฟัง มีบางคนเจอกับสัตว์ร้ายในทะเลลึกที่จับกลุ่มกันมาตอนโดยสารเรือข้ามทวีป พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนแสงกระบี่สาดส่องสุกสว่างเหนือเกินกว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้า และในประวัติศาสตร์ยังมีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้ามากที่สุด เขาเดินทางไกลจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอุตรกุรุทวีป ได้รับฉายาว่า ‘เทียนจวินเสินเซียว’ กำจัดปีศาจปราบมารไปนับไม่ถ้วน จนถึงวันนี้ก็ยังมีประชาชนในอุตรกุรุทวีปนับไม่ถ้วนที่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา ตั้งป้ายคุณความชอบไว้ในตระกูล จุดธูปกราบไหว้สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย
สำหรับเรื่องตำนานอันทรงเกียรติเหล่านี้ เฉินผิงอันแค่ฟังผ่านไปด้วยความรู้สึกเลื่อมใสเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่เขาสนใจคำเรียกนักพรตขอบเขตสิบเอ็ดว่าขอบเขตหยกดิบมาก จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ เพราะในสำนักเคยมีห้าขอบเขตบนปรากฏมาก่อน ต่อให้สาวใช้ชุนสุ่ยจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง แต่ก็ยังรู้เรื่องมากมาย นางจึงพูดเรื่องที่ตัวเองรู้ บอกว่าขอบเขตหยกดิบในตำนานนั้นก็คือการฝึกลมปราณได้สำเร็จ หวนคืนสู่ความเป็นจริงดั่งหยกดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียรนัย เรือนกายมีแนวโน้มสู่ความอุดมสมบูรณ์ ทั่วร่างเหมือนเนื้อหยกเนื้อทอง ไม่จำเป็นต้องมีสมบัติอาคมติดตัวก็ยังกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ เสนียดจัญไรเยื้องกรายมารุกรานไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีอายุตั้งแต่ห้าร้อยปีถึงพันปี ไม่เท่ากัน
เป็นเหตุให้การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือการเปลี่ยนแปลงของภูเขาและแม่น้ำไม่อาจดึงความสนใจจากนักพรตขอบเขตหยกดิบได้
ชุนสุ่ยกล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือที่กินผลไม้สีเขียวมรกตไปผลหนึ่งเรอออกมาอย่างอดไม่อยู่ นางหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความอับอาย ถูกชุนสุ่ยพี่สาวหันมาถลึงตาใส่ เพื่อชดใช้ความผิด ชิวสือจึงรีบพูดอธิบายให้เฉินผิงอันฟังต่อทันที “คุณชายเฉิน บ่าวยังได้ยินคนอื่นพูดอีกว่า หลังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าเมื่อออกมาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแล้วจะถูกปราณสกปรกในฟ้าดินรุกรานเข้ามาในร่างกายอีก เพราะการสั่งสมปราณวิญญาณในร่างจะค่อยๆ เลื่อนมาถึงช่วงปากขวด ดังนั้นจะฝึกตนอยู่บนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบยิ่งกว่า ‘มั่นคงดุจขุนเขา’ ของนักพรตขอบเขตที่สิบหรือขอบเขตก่อกำเนิดมากนัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือก็เอ่ยด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม “ผู้ฝึกลมปราณหญิงทุกคนบนโลกใฝ่ฝันอยากเลื่อนสู่ขอบเขตนี้มากที่สุดเลยล่ะ เพราะขอแค่ถึงขอบเขตที่สิบเอ็ดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งครั้ง หรือก็คือโอกาสที่จะกลับคืนสู่ความงามดั้งเดิม อีกทั้งยังรับประกันได้ว่าจะ ‘ไม่ส่งผลร้ายต่อโชคชะตา’ ดังนั้นผู้หญิงหลายคนที่เดิมทีเป็นขอบเขตสิบ ต่อให้กลายเป็นหญิงแก่ผมขาวโพลนแล้วก็ยังสามารถกลับไปเป็นสาว อีกทั้งยังคงความสาวไว้จนตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมชาวบ้านหวาดเกรงการเสียโฉม แต่ขอบเขตหยกดิบกลับรับประกันได้ว่าจะ ‘ไม่ส่งผลร้ายต่อโชคชะตา’?”
สาวใช้ชิวสือไม่รู้จะตอบอย่างไร นางรู้แค่ผิวเผิน ไม่ได้รู้รายละเอียดอย่างลึกซึ้ง ทัศนียภาพของห้าขอบเขตบน ไหนเลยที่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองอย่างนางจะรู้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!