เด็กสาวเล่าเสียงเจื้อยแจ้วบอกว่าที่บ่อนการพนันมีหินเดิมพันของคนผู้หนึ่งถูกเจียระไนออกมาเป็นหยกงามที่หาได้ยากยิ่ง เป็นหยกที่สามารถฟักแก่นหยกได้ด้วยตัวเอง พอเอาออกมาแล้วก็ส่องประกายแสงพร่างพราวจับตา อย่างน้อยมีมูลค่าถึงสามหมื่นหยกเกล็ดหิมะ คนผู้นั้นถึงกับรวยเป็นเศรษฐีเลยทีเดียว
ทางฝั่งร้านขายอาวุธของหลิวหน้ากระ เจอกับเศรษฐีสองกลุ่มที่ยอมทุ่มเงินหมดหน้าตัก พวกเขาถูกใจอาวุธชิ้นเดียวกัน และเพราะต้องการเอาชนะกันจึงทำให้ราคาทะยานสูงลิ่ว สุดท้ายคนที่ขึ้นเรือจากท่าเรืออู๋ถงต้าหลีมือเติบมากกว่า ง้าวฟางเทียนฮว่าที่ราคาเดิมคือแปดพันหยกเกล็ดหิมะ กลายเป็นว่าต้องจ่ายไปเกือบสองหมื่นหยกเกล็ดหิมะ นี่ทำให้เด็กสาวทั้งอิจฉาทั้งเสียดาย ใครเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้บ้าง คิดว่าแค่ลมพัดเงินก็งอกขึ้นมาเองหรือไง
และยังมีคนผู้หนึ่งที่ดื่มเหล้าจนเมามายอยู่ในหอซิ่งฮวา เขาร้องไห้คร่ำครวญตะโกนเรียกชื่อแม่นางคนหนึ่ง ทำเอาแขกที่อยู่ใกล้เคียงหนวกหูกันมาก สุดท้ายถูกผู้ดูแลของหอซิ่งฮวาลากตัวออกไปซ้อมหนักๆ หนึ่งรอบ ผลกลับกลายเป็นว่าวันต่อมาเขาก็ไปอีก แต่ไม่กล้าโวยวายอีกแล้ว คราวนี้ไปนั่งยองกินขนมเปี๊ยะอยู่ริมถนนนอกหอซิ่งฮวา เหม่อมองหอสูงซึ่งมีแม่นางที่ตัวเองหลงรักอยู่ด้านใน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบน้ำ จึงถูกกินเข้าไปพร้อมกับขนมเปี๊ยะด้วย
เป็นนักพรตหนุ่มขอบเขตสี่คนหนึ่ง ที่แท้เขาก็ใช้เงินจนเกลี้ยงแล้ว เพราะไปถูกใจหญิงคณิกาคนหนึ่งที่งดงามดุจดอกบัวขาว สองเดือนที่ผ่านมาจึงใช้เวลาหมดไปกับการแสดงความรักความใคร่กับนาง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เล่าลือกันว่านักพรตคนนั้นเป็นพวกคลั่งรัก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยได้จับมือของหญิงคณิกา นับว่าเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง
ชิวสือพูดจ้อไม่หยุดปาก แถมยังปรุงเสริมเติมแต่ง เล่าได้น่าฟังยิ่งกว่านักเล่านิทานเสียอีก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่ฟังผ่านหูไปเท่านั้น
ความสนใจของเฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนเรือ แต่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
วันหนึ่งท่ามกลางแสงสายัณห์เรือคุนเจอพายุลมกรดรุนแรง จำเป็นต้องลดระดับความสูงลง เป็นเหตุให้เฉินผิงอันพบว่าบนผืนแผ่นดินแห่งหนึ่งมีกองเพลิงลุกโชติช่วง ควันปืนคลุ้งไปสี่ทิศ กลุ่มควันที่พุ่งตรงสู่กลางอากาศคล้ายหน่ออ่อนของต้นกล้าที่อยู่ในผืนนา ส่ายเอียงบิดเบี้ยวไปตามสายลม ชุนสุ่ยรู้เรื่องวงในของแจกันสมบัติทวีปหลายอย่าง แล้วก็เคยอ่านแผนที่ในห้องหนังสือมาก่อน จึงสามารถให้คำตอบเฉินผิงอันได้อย่างรวดเร็ว ที่แท้นั่นคือสงครามนองเลือดที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสองฝ่าย ราชวงศ์ใหญ่สองแห่งที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายรุ่นหลายสมัย หลังจากผ่านการสู้รบยาวนานมาหลายร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็ทุ่มหมดหน้าตัก ดึงพละกำลังทั้งหมดของแคว้นมาใช้ และเรียกระดมผู้ฝึกลมปราณจำนวนมาก
ผ่านศึกครั้งนี้ไป พลังต้นกำเนิดของทั้งสองฝ่ายต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นที่แถบเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปซึ่งมีสำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่งเขต นอกจากสกุลเกาต้าสุยที่ให้ความสำคัญทั้งบุ๋นและบู๊แล้ว ราชวงศ์อื่นๆ ที่สามารถงัดข้อกับคนป่าเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีได้นั้นจะยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ
ชุนสุ่ยมองไปยังผืนแผ่นดินที่สิ่งมีชีวิตไหม้เกรียมเป็นตอตะโกแล้วถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังเบาๆ “หากรบกันรุนแรง ไม่แน่ว่าแจกันสมบัติทวีปคงต้องมีซากสมรภูมิรบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง หลายสิบปีให้หลัง รอให้ลมปราณมั่นคงแล้วก็น่าจะมีอริยะของภูเขาเจินอู่หรือไม่ก็ศาลลมหิมะมาเฝ้าบัญชาการณ์ กลายมาเป็นแถบพื้นที่ของสำนักการทหารแห่งใหม่”
เฉินผิงอันคอยมองไปยังพื้นดินที่มีแสงสว่างวูบวาบเป็นระยะ และต่อให้มองจากหอชมทัศนียภาพแห่งนี้ก็ยังเห็นได้ว่าระหว่างนี้มีนักรบเกราะเงินเกราะทองขนาดเท่าเล็บมือกำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ยักษ์ที่ผุดออกมาจากพื้นดินที่ปริแตก
เฉินผิงอันเดาว่านั่นน่าจะเป็นการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกลมปราณที่มีวิชาอภินิหารติดตัว
นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์อีกมากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวสมองว่างเปล่า
มีนกกระเรียนเซียนกลุ่มหนึ่งแผดเสียงยาวทะยานขึ้นฟ้ามาอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งโผล่ลอยเหนือทะเลเมฆ พวกมันก็สยายปีกบินไปยังทะเลเมฆตำแหน่งที่สูงกว่า มองดูคล้ายภาพวาดที่เคลื่อนขยับได้
และยังมีห่านป่าจับกลุ่มกันบินมุ่งหน้าไปทางใต้ แล้วก็มีเสาก้อนเมฆที่หมุนคว้างคลอเคล้าไปด้วยเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบ ผู้ฝึกลมปราณบินทะยานมาหยุดอยู่นอกเสาก้อนเมฆ ใช้อาวุธที่ดึงดูดสายฟ้าโดยเฉพาะเก็บสายฟ้าเข้าไปในกระเป๋าตัวเอง และยิ่งมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่โดยสารหลวนดำ (หลวนคือนกในตำนานคล้ายหงส์) ความเร็วในการทะยานกลางอากาศเหนือกว่าเรือคุน เพียงชั่วพริบตาร่างที่เปล่งประกายรัศมีของมันก็หายวับไป
เฉินผิงอันได้ยินว่าเรือคุณมี ‘ร้านส่งจดหมาย’ ที่ใช้กระบี่บินส่งข้อความโดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายจุดพักม้าในโลกมนุษย์ จึงเขียนจดหมายสองฉบับ ไหว้วานให้ชิวสือไปส่งให้ เพราะสิ่งที่เขียนในจดหมายไม่มีความลับอะไร แค่บอกให้คนรับรู้ว่าตัวเองปลอดภัยดี และเล่าเรื่องประหลาดที่รู้มาจากชิวสืออีกเล็กน้อย ต่อให้จะมีใครเปิดอ่านก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าราคาส่งจดหมายแพงมาก จดหมายหนึ่งฉบับที่ส่งไปถึงเมืองหลงเฉวียนต้าหลีต้องใช้หยกเกล็ดหิมะที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันถึงสิบอีแปะ หากเป็นจดหมายที่ส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็ยิ่งแพง ยี่สิบอีแปะ ทำเอาเฉินผิงอันตกใจจนต้องล้มเลิกความคิดที่จะส่งจดหมายไปให้ทุกคนคนละฉบับทันที ผู้รับจดหมายของต้าหลีคือเว่ยป้อ ส่วนผู้รับจดหมายของสำนักศึกษาต้าสุยก็คือหลี่เป่าผิง แล้วค่อยให้คนทั้งสองนำความในจดหมายไปบอกต่อคนอื่น
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพ ภายใต้การชี้แนะจากชิวสุ่ยเขาจึงค้นพบว่าหอเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ติดกับกำแพงรั้วมีแสงเล็กๆ เปล่งวูบอยู่เป็นระยะ หากไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น ชุนสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างอดทนว่า “หนูมีเส้นทางของหนู นกก็มีเส้นทางของนก กระบี่บินส่งจดหมายเองก็เป็นเช่นเดียวกัน บรรยากาศชั้นหนึ่งบนท้องฟ้าเหมาะสำหรับการเดินทางของกระบี่บินมากที่สุด เพราะแรงต้านมีน้อยมาก ต่อให้มีผู้ฝึกลมปราณบุกเบิกช่องทางพิเศษไว้ในความสูงระดับนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อใดที่กระบี่บินส่งข่าวทั่วโลกลอยขึ้นฟ้าก็มักจะมุ่งหน้าไปยัง ‘เส้นทางที่เล็กแคบดุจไส้แกะ’ นี้เสมอ ขอแค่เป็นลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ๆ ล้วนรู้กฎเกณฑ์ข้อนี้ ดังนั้นหากคิดจะบินทะยานกลางอากาศต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”
ชิวสือเพิ่งกลับมาถึงห้องหนังสือ นางยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตู พูดกลั้วหัวเราะ “ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่โง่เง่าเสียเลย บางคนที่เพิ่งจะฝึกบินกลางอากาศได้สำเร็จ คิดอยากจะเป็นนกที่โบยบินอยู่บนฟ้าสูง ผลกลับกลายเป็นว่าทะเล่อทะล่าเข้าไปในเส้นทางนั้น ถูกกระบี่บินรุมฟาดจนหน้าเขียวจมูกบวม นี่ยังถือว่าโชคดีแล้วด้วย หากโชคร้ายก็มีที่ถูกแทงลูกตา ลำคอ ร่วงลงมาจากที่สูง ตายคาที่ กลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็มี น่าสงสารจริงๆ”
เฉินผิงอันถามคำถามที่แสดงให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ “บนโลกจะไม่มีใครที่กินอิ่มแล้วว่างงานจนไปขัดขวางการส่งข่าวของกระบี่บินบ้างเลยหรือ?”
ชิวสือพยักหน้ารับ “ต้องมีอยู่แล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณที่สมองเลอะเลือนมีเยอะแยะไป เพียงแต่ว่าทางเล็กไส้แกะของกระบี่บินเส้นนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทางเล็กลายเมฆ’ ซึ่งจะมีนักพรตลายเมฆรับผิดชอบจับตามองพื้นที่แห่งนี้โดยเฉพาะ ด้วยหวังว่าจะร่ำรวยเพราะเหตุนี้ พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนโง่มาดักปล้นชิงกลางทาง กระบี่บินส่งจดหมายไม่กี่เล่มมีค่าไม่เท่าไหร่ แต่หากจับโจรได้ก็สามารถจับเป็นตัวประกันรีดไถเงินค่าไถ่สูงเทียมฟ้า หากโจรคนนั้นเป็นพวกยากจนข้นแค้น ก็ไปขอเอาจากราชวงศ์ที่เขาอยู่อาศัย หากเป็นพวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีชื่อในบัญชี อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เพราะถึงอย่างไรก็เสียหายไม่มาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือก็พูดด้วยสีหน้าริษยา “ผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลทางเล็กลายเมฆ แต่ละคนอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์! ทุกครั้งที่คนพวกนี้ขึ้นเรือมา อย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องอยู่อาศัยในห้องระดับกลาง”
ชุนสุ่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อันที่จริงตระกูลเซียนที่สืบทอดต่อกันมานานนับพันปี โดยทั่วไปแล้วก็จะใช้กระบี่บินในการส่งจดหมายเหมือนกัน บนโลกใบนี้มีเวทลับที่ลี้ลับอยู่มากมาย สามารถทำให้คนเหมือนได้พูดคุยกันต่อหน้า ยกตัวอย่างเช่นเหรียญกษาปณ์แม่ลูกคู่หนึ่ง หากเจ้าร่ายเวทลับใส่มัน แล้วค่อยเปิดปากพูด เหรียญกษาปณ์อีกเหรียญที่อยู่ที่อื่นก็จะสั่นและเปล่งเสียงเองโดยอัตโนมัติ อีกฝ่ายก็จะได้ยินไปด้วย”
เฉินผิงอันจุ๊ปากชื่นชม
ชิวสือมองเฉินผิงอันที่ตั้งใจรับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าคนจนแบบนี้ไปสนิทสนมกับเทพขุนเขาเหนือต้าหลีได้อย่างไร? นั่นต้องเหยียบขี้หมากองใหญ่แค่ไหนถึงจะได้? (ภาษาจีนมีคำกล่าวว่าโชคขี้หมาซึ่งแปลว่าโชคดี)
ยังดีที่เฉินผิงอันแม้จะจน ความรู้ตื้นเขินมากคำถาม แต่ไม่เคยเสแสร้งวางท่าว่าตัวเองร่ำรวย นี่จึงทำให้ชิวสือที่มีนิสัยไร้เดียงสารู้สึกดีกับเขา หากไม่มีเงินแต่ยังชอบวางท่า ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่แกล้งทำเป็นว่าเข้าใจ นั่นตั้งหากที่จะทำให้คนสมเพชและรังเกียจ
เมื่อพูดคุยกันนานเข้า สองพี่น้องก็อดพูดถึงกุรุทวีป บ้านเกิดของตัวเองไม่ได้
กุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่อยู่มากมายจนไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!