เป็นเหตุให้สายตาอยากรู้อยากเห็นมากมายพากันมองมาทางเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหน้าตาไม่โดดเด่น
หรือว่านี่คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่นิสัยอ่อนโยน ชอบแต่งตัวเป็นคนจน?
ไม่อย่างนั้นเจ้าสวมรองเท้าแตะแบบนี้คิดจะลงไปถอนหญ้าหรือปลูกข้าวในนากันล่ะ?
เก้าอี้ใหญ่ไม้จื่อถานสามตัว ระหว่างเก้าอี้สองตัวมีโต๊ะวางกาน้ำชาหนึ่งใบ ด้านบนวางชามีชื่อเสียงที่ผลิตเฉพาะในกุรุทวีปซึ่งมีชื่อว่าลิ้นนกกระจอกขม ไม่ต้องใช้น้ำพุต้ม หยิบเข้าปากเคี้ยวได้สดๆ เลย รสชาติแรกเริ่มจะฝาด จากนั้นจะค่อยๆ ขม ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปก็จะเปลี่ยนรสไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหวานหอมและสดชื่นเหนือกว่าน้ำชาทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘ชาหอมครึ่งก้านธูป’
ศึกใหญ่ยังไม่เปิดฉาก คนทั้งสามนั่งว่างไม่มีอะไรทำ ชุนสุ่ยจึงหันมาอธิบายความมหัศจรรย์ของใบชานี้ให้เฉินผิงอันฟัง
ที่แท้วัตถุชนิดนี้ก็สามารถทำความสะอาดตับชำระล้างดวงตาให้ใสสะอาดได้ เป็นที่ชื่นชอบของตระกูลชนชั้นสูงในสามทวีป พวกบัณฑิตมากความรู้และนักกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงชอบมอบชาวิเศษชนิดนี้ให้กันมากที่สุด เป็นเหตุให้ราชวงศ์ในโลกมนุษย์บางส่วนที่นิยมชมชอบการดื่มชาใช้ชาชนิดนี้มาเป็นสินบน ทว่าการติดสินบนแต่ละครั้งไม่ได้ใช้ลิ้นนกกระจอกขมแค่หนึ่งจินหรือครึ่งจินเท่านั้น แต่ต้องมอบให้เป็นของขวัญกล่องใหญ่ ส่วนขุนนางที่ถูกลดขั้น เวลาที่สหายมาส่งเดินทางก็ยิ่งต้องยอมหุบหม้อขายเหล็กเพื่อซื้อลิ้นนกกระจอกขมมามอบให้ เพราะมันมีความหมายแฝงที่งดงามว่า ‘เมื่อความขมขื่นหมดไป ความหวานชื่นจะมาเยือน’
นอกจากนี้ยังมีขนมหน้าตางดงามและผลไม้วิเศษหลากหลายสีสัน ราคาไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับลิ้นนกกระจอกขมที่หาได้ยากแล้วจึงด้อยกว่ามาก
ความสัมพันธ์ระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขาแนบแน่นกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้มาก ระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจมีร่องลึกอันเป็นปราการธรรมชาติกั้นขวาง แต่เมื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงกันไว้ การไปมาหาสู่กันในแต่ละครั้งจึงล้วนนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาล
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดจากชุนส่ยพลางสำรวจรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตาก หลักๆ แล้วคือแขกสามกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นคนมีเงินในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาอีกที
เรือข้ามทวีปลำนี้เดินทางมาจากกุรุทวีป แม้ว่าจะมีคนที่หวังมาทำการค้าระหว่างทาง แต่คนส่วนใหญ่แล้วก็ยังเป็นคนของกุรุทวีป เพราะต่อให้จะเป็นเด็กน้อยก็ยังแต่งกายแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากพกกระบี่ยาวมาเป็นกระบี่สั้นเท่านั้น
และไม่ว่าจะเป็นสตรี เด็กหรือคนชรา ขอแค่เป็นคนที่พกกระบี่ก็ล้วนไม่มีใครแต่งตัวฉูดฉาดเยอะเกินความจำเป็น ฝักกระบี่ไม่มีอัญมณีหายากฝังเลื่อม ยิ่งไม่มีพู่กระบี่งดงามคอยแกว่งไกว
ด้านหน้าของเฉินผิงอันก็คือครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วที่ตัวสูงมากนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน หลังตรงอกตั้ง แม้ว่าหน้าตาจะไม่ถือเป็นสาวงาม แต่พลังอำนาจกลับเฉียบขาดบีบคั้น นางมักจะชอบเม้มปาก หรี่ตามองสังเกตผู้คน
ข้างกายนางคือบุรุษท่าทางสุภาพกระตือรือร้น หน้าตาของเขาหล่อเหลา แต่หากพูดกับสตรีแต่งงานแล้วเมื่อไหร่ เขาจะต้องคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า โค้งตัวลงต่ำ ไม่เหมือนคนเป็นประมุขของครอบครัว หากไม่เป็นเพราะตำแหน่งที่นั่งไม่อาจหลอกใครได้ เขากลับดูเหมือนชายบำเรอที่ประมุขหญิงเจ้าสำราญเลี้ยงดูไว้เป็นการส่วนตัวซะมากกว่า
ในอ้อมอกเขาอุ้มเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบ หน้าตาเหมือนบุรุษ หล่อเหลาดุจหยกสลัก แต่ท่าทางถอดสตรีแต่งงานแล้วมาทุกกระเบียดนิ้ว จึงไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดูสักเท่าไหร่
หญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่น คือหมัวมัวผู้สั่งสอนกฎระเบียบของตระกูล ข้างกายมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางเย็นชาไม่ต่างจากตัวหญิงชราเอง
และยังมีชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของสตรีแต่งงานแล้ว บางครั้งที่หันหน้ามามองบุรุษผู้มีท่าทีกระตือรือร้น มุมปากจะยกยิ้มดูแคลน หากประสานสายตากับเขา ชายวัยกลางคนก็ไม่เพียงแต่ไม่ปกปิดแววดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับยิ่งฉีกปากกว้างขึ้น แถมบุรุษที่มีสถานะเป็นประมุขของตระกูลผู้นั้นยังผงกศีรษะคลี่ยิ้มรับเขาอย่างยินดีด้วย
เฉินผิงอันอาศัยโอกาสที่รอชมม้วนภาพวาดนั้นเก็บทุกรายละเอียดเข้าสู่สายตา
ชิวสือจ้องเป๋งมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แต่ไม่นานก็ถูกชุนสุ่ยหยิกแขน คาดไม่ถึงว่าชายร่างสูงใหญ่คนนั้นจะเอนตัวมาด้านหลัง หันหน้ากลับมา ยิ้มเสแสร้งเผยให้เห็นฟันเรียงตัวขาวสะอาด ทำเอาชิวสือตกใจรีบก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลังจากบุรุษหันหน้ากลับไป ชุนสุ่ยก็กระทืบเท้าชิวสือแรงๆ อย่างโมโห ฝ่ายหลังเจ็บจนสูดลมเข้าปากเฮือกใหญ่ หันมามองพี่สาวด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
ทางฝั่งซ้ายสุดคือผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่นั่งอยู่เพียงลำพัง บนศีรษะของเขาสวมหมวกขนเตียวเก่าแก่ เขาถอดรองเท้าหุ้มแข้งยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ลักษณะค่อนข้างน่าขัน
ทางฝั่งขวาคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคน ดูแล้วน่าจะอายุไม่มาก ประมาณยี่สิบต้นๆ ส่วนอายุที่แท้จริงนั้นคือเท่าไหร่ก็บอกได้ยาก
ชายหนุ่มวางกระบี่ไว้บนหัวเข่า ตบฝักกระบี่เบาๆ
หญิงสาวนอกจากจะห้อยกระบี่เล่มยาวแล้ว ตรงมวยผมของนางไม่ได้ปักปิ่นมุก กลับปักกระบี่เล็กๆ ไร้คมเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตรงด้ามกระบี่มีไข่มุกสีหิมะขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งห้อยลงมา เปล่งประกายแสงแจ่มจ้า
นี่ไม่เท่ากับป่าวประกาศแก่ใต้หล้าอย่างชัดเจนหรือว่า บนร่างข้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่?
คงเป็นเพราะยอดฝีมือมีความกล้าหาญสูงกระมัง เฉินผิงอันได้แต่เข้าใจเช่นนี้
สรุปก็คือคนสามกลุ่มที่ยึดครองตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครที่ดูเข้ากับคนง่ายสักกลุ่มเดียว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กลั้นลมหายใจทำสมาธิ สายตามองไปทางม้วนภาพวาดตาไม่กะพริบ
วานรย้ายภูเขาขุนเขาตะวันเที่ยง คือหนึ่งในศัตรูของเขา
และนั่นยังเป็นศัตรูคู่แค้นที่จำเป็นต้องล้างแค้นให้ได้ด้วย
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าก็ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่า และดูเหมือนเขาจะชอบเทพธิดาซูเจี้ยของเขาตะวันเที่ยงด้วย ตอนนั้นแม่นางหนิงยังถามคำถามหนึ่งที่ทำให้หลิวป้าเฉียวลำบากใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ จู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาจึงเปิดปากบอกให้ชุนสุ่ยและชิวสือกินใบชาลิ้นนกกระจอกขมนั่น
ทว่าคราวนี้แม้แต่ชิวสือก็ยังส่ายหน้าอย่างแรง
ชุนสุ่ยชี้ไปยังผู้ดูแลเรือคุนที่ยืนอยู่นอกวงด้านหน้าเงียบๆ เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันทีจึงถามว่า “ข้าเอาส่วนหนึ่งกลับไปได้ไหม? หรือว่าต้องนั่งกินที่นี่เท่านั้น?”
ชุนสุ่ยหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คุณชาย เอากลับไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครทำอย่างนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง แล้วหยิบใบชาสองสามใบเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างเปิดเผย ก่อนจะเพิ่มระดับน้ำเสียงเล็กน้อย “ใบชาที่ดีขนาดนี้ ข้าต้องเอากลับไปเคี้ยวช้าๆ ตั้งใจกินที่ห้องสักหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!