เพราะเกินครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ คนบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวต่างก็พอจะรู้หน้าตาของแขกสูงศักดิ์ในห้องอักษรตัวเทียนคร่าวๆ แล้ว ผู้ดูแลถึงได้ถามเช่นนี้
นักพรตหนุ่มปลุกความกล้าตอบไปว่า “นักพรตน้อยจางซาน ครั้งนี้เดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์ แม้ว่าจะเป็นสายที่ห่างไกลจากสกุลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนักพรตเต๋าของสำนักชิงฉือสำนักลำดับล่างของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งกุรุทวีปที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างเป็นทางการ เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องพักระดับหนึ่งนั้นคือ…เพื่อนของข้า เนื่องจากมีธุระติดพันจึงมาถึงช้า นี่ก็กำลังจะเข้าไปหาแม่นางชุนสุ่ยกับแม่นางชิวสือ”
พอหลุดประโยคนี้ออกไป คนหนุ่มก็รู้สึกเสียใจทันที เขาคิดว่าตัวเองวู่วามและหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรรับแผ่นหยกมาแล้วไม่รู้จักดีชั่ว คนหนุ่มเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนรอบคอบ นิสัยสุขุมเก็บตัว เวลาใคร่ครวญถึงปัญหาชอบขบคิดอย่างลึกซึ้ง แต่จู่ๆ กลับขาดสติขึ้นมา เขารู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะเป็นแบบนี้กับทุกเรื่อง เล่าเรียนวิชาก็เพราะความใจร้อน กำจัดปีศาจปราบมารก็ใช้อารมณ์เป็นหลัก ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ในขณะที่คนหนุ่มสะพายกระบี่ไม้ท้อกำลังเจ็บใจตัวเองและหวาดผวาอยู่นั้น ผู้ดูแลคนนั้นกลับวางใจลงได้ รอยยิ้มจึงกว้างมากขึ้น เขาเบี่ยงตัวผายมือบอกนักพรตหนุ่มให้เดินหน้าต่อ ผู้ดูแลวัยกลางคนยังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญจางเซียนซือตามข้ามา”
หลังจากนั้นก็มาถึงที่นั่ง เมื่อรับรู้สถานการณ์แล้ว ชุนสุ่ยจึงเป็นฝ่ายสละเก้าอี้ให้ ภูเขาต่าเจี้ยวยกเก้าอี้ไม้จื่อถานมาเพิ่มให้อีกตัว นักพรตหนุ่มทรุดตัวลงนั่งแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
เนื่องจากสาวใช้เรือนกายอวบอิ่มผู้นั้นเพิ่งจะลุกไปจากเก้าอี้ พอเขานั่งลงไปจึงยังสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่หลงเหลืออยู่ นี่ทำให้นักพรตหนุ่มนั่งไม่เป็นสุข เขาที่เป็นคนหน้าบางมากถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบขยับก้นไปนั่งริมขอบเก้าอี้ ราวกับว่าหากตัวเองไม่ทำเช่นนี้จะเป็นการล่วงเกินแม่นางคนนั้น
ชิวสือเห็นภาพนี้แล้วก็แอบยิ้ม
แม้ชุนสุ่ยจะรู้สึกแปลกใจว่าเฉินผิงอันไปข้องเกี่ยวกับนักพรตตกต่ำคนนี้ได้อย่างไร ทว่านางไม่ได้เผยความคิดใดๆ ออกมาทางสีหน้า ขยับมานั่งบนเก้าอี้ตัวใหม่ที่วางไว้ข้างกายนักพรตหนุ่ม ในฐานะสาวใช้ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนใหญ่ ย่อมเรียนรู้วิชาการสังเกตสีหน้าน้ำเสียงของผู้คนมาก่อน ในเมื่อชิวสือมองออก ชุนสุ่ยก็ยิ่งไม่มีทางพลาด นางเม้มปากเล็กน้อย อดเอานักพรตที่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างเลือนรางซึ่งมักจะเห็นบ่อยๆ เวลาไปยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพผู้นี้มาเปรียบเทียบกับแขกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้ เป็นคนยากจนที่ขึ้นเรือออกเดินทางไกลมาเหมือนกัน เพิ่งเคยเห็นโลกกว้างเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เฉินผิงอันที่อายุน้อยกว่ากลับเปิดเผยตรงไปตรงมากว่ามาก ไม่มีทางที่จะรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้
นักพรตหนุ่มที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบหันตัวยื่นแผ่นหยกส่งให้ “แม่นาง นี่คือแผ่นหยกของเฉินผิงอัน คืนให้เจ้า”
ชุนสุ่ยไม่ได้รับแผ่นหยกนั้นมาโดยพลการ เพียงตอบเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายเฉินไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมา รบกวนจางเซียนซือคืนให้เขาเองเถิด”
ถูกดวงตาประกายน้ำคู่นั้นของชุนสุ่ยจ้องมองในระยะประชิด นักพรตสะพายไม้ท้อก็หน้าแดงผิดไปจากปกติอีกครั้ง เขาดึงมือกลับมาขลาดๆ ไม่มีมาดของเซียนซือผู้ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
นักพรตหนุ่มรู้สึกหิวน้ำมาก น่าเสียดายที่เห็นเพียงใบชาหนึ่งจาน ไม่มีน้ำชา แล้วก็ไม่กล้าจะเปิดปากขอ จึงได้แต่ทนเอาไว้
ชิวสือที่รู้สึกว่านักพรตหนุ่มคนนี้ตลกดีหยิบเอาชาลิ้นนกกระจอกขมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง วางไว้ในปากแล้วเอ่ยเย้าว่า “จางเซียนซือ ใบชานี้กินอย่างนี้ ไม่ต้องใช้ไฟต้มน้ำให้ยุ่งยาก”
ชุนสุ่ยรู้สึกระอาใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้นางไม่สะดวกจะสั่งสอนน้องสาวที่บุ่มบ่ามไร้มารยาท
เพราะนางรู้ดียิ่งนักว่า หากเจอกับคนที่จิตใจคับแคบ ย่อมต้องอาฆาตแค้นแน่นอน
ยังดีที่นักพรตหนุ่มมีนิสัยอ่อนโยน เขาเพียงแต่หน้าแดงก่ำ ใช้นิ้วคีบใบชาขึ้นมาสองใบ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
จากนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย
เหมือนกับเด็กน้อยที่ได้กินส้มเปรี้ยวหรือหวงเหลียน (หนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด) เป็นครั้งแรก รสชาติที่สัมผัสทำให้แทบจะสั่นเยือกไปทั้งตัว
ชิวสือปิดปากหัวเราะคิก แกล้งนักพรตหนุ่มคนนี้สนุกจริงๆ
ชุนสุ่ยกลับรู้สึกแปลกใจ
นักพรตหนุ่มเปิดเผยรายละเอียดอย่างหนึ่งโดยบังเอิญ สองนิ้วคีบหยิบวัตถุ นิ้วชี้อยู่ด้านล่าง นิ้วกลางอยู่ด้านบน เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของคนที่คีบเม็ดหมากเป็นประจำถึงทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
หากเป็นผู้ฝึกลมปราณระดับต่ำที่มาจากสำนักยากจน เกรงว่าแม้แต่โอกาสจะได้เห็นกระดานหมากล้อมสักครั้งก็คงไม่มี เพราะอย่างไรซะพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดก็ล้วนเป็นวิชาที่คนมีเงินเท่านั้นถึงได้เล่าเรียน ต่อให้กลายเป็นคนบนภูเขาแล้ว แต่เรื่องอย่างการเล่นหมากล้อมนี้พิถิพิถันในด้านการรวบรวมสมาธิมากที่สุด อีกทั้งยังลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้ง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งหากไม่เพราะชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กก็ไม่มีทางแบ่งสมาธิไปเรียนเด็ดขาด ต้องเลือกให้ได้ว่าใช้งานอดิเรกที่ตัวเองชื่นชอบมาผ่อนคลายจิตใจนั้นสำคัญกว่า หรือฝึกตนให้ตบะเพิ่มพูนเหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวันที่สำคัญยิ่งกว่า?
เห็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจถึงสถานการณ์ ชุนสุ่ยกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันที่พักอยู่ในห้องอักษรตัวเทียนเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากตรอกยากจน แต่กลับสามารถฝึกหมัดมองทะเลเมฆอยู่บนหอชมทัศนียภาพได้ทุกวัน
ส่วนนักพรตหนุ่มขี้อายคนนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมานานหลายปี ชาติกำเนิดน่าจะไม่แย่นัก น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่บนภูเขาซึ่งมีเทพเซียนรวมตัวกันกลับยังไม่มากพอ สุดท้ายจึงได้แต่เดินเล่นอยู่บนดาดฟ้าเรือคุนทุกวัน
ชุนสุ่ยหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าเด็กชายที่บุรุษขี้ขลาดอุ้มไว้ในอ้อมอกซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าหันมายิ้มให้นาง
ชุนสุ่ยจึงยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไปตามมารยาท
นางคิดว่าการทดสอบใหญ่ครั้งแรกในใต้หล้าแห่งนี้คงจะเป็นการเลือกครรภ์มาเกิดกระมัง?
แต่เด็กชายกลับคิดว่า พี่สาวน้อยที่งดงามขนาดนี้น่าซื้อกลับไปเป็นสาวใช้ประจำกายของตนจริงๆ เวลาเปิดหนังสืออ่านในหน้าหนาวจนมือเย็นก็ให้นางกุมมือให้อุ่น
เด็กชายที่หน้าตาเหมือนบิดากระตุกชายแขนเสื้อของสตรีแต่งงานแล้ว แม้ว่าเวลาปกติสตรีแต่งงานแล้วจะมีสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่กลับรักและเอ็นดูลูกชายของตนอย่างมาก นางจึงยิ้มแล้วก้มหน้าไปหาเขา เด็กชายบอกความต้องการของตัวเองเบาๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!