ลู่เฉินพยักหน้ารับ “แน่นอน หากเป็นคนทั่วไป เจ้าไม่ใช่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เขาไม่ใช่เฉินผิงอัน ถ้าเช่นนั้นการที่ข้าผู้เป็นนักพรตลำบากเป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์เชื่อมด้ายแดงในครั้งนี้ก็จะดูไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ฉีจิ้งชุนจับคู่ยวนยางมั่วซั่วก็ต้องรับผิดชอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะสามารถใช้ใจตนแบกขุนเขาไว้บนไหล่ได้ ส่วนสองฝั่งของด้ายแดงในมือข้าผู้เป็นนักพรตก็คือคนสองคน และยิ่งเป็นกระจกที่ใสสะอาดไร้มลทินสองบานที่ส่องสะท้อนกันและกัน ไม่ใช่แค่ให้เฉินผิงอันมาแบ่งโชควาสนาของเจ้าไปเท่านั้น เฉินผิงอันยังช่วยให้เจ้าผ่านด่านความรักไปได้ด้วย”
ลู่เฉินหันไปมองยังทิศทางที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงปรากฏตัวก่อนหน้านี้ “ใต้หล้านี้มีคนประหลาดและคนที่พิเศษหมื่นหมื่นพัน (เป็นจำนวนที่แสดงถึงปริมาณที่มากเกินกว่าจะบอกเป็นตัวเลขที่แน่ชัด) นิสัยอย่างเฉินผิงอัน ข้าผู้เป็นนักพรตก็เคยเห็นมาเป็นพันพันหมื่น เขาอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่กลับมีทั้งความคล้ายคลึงและทั้งไม่คล้ายนิสัยของเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง มีการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นอย่างพอเหมาะพอเจาะ ดังนั้นครั้งแรกที่พวกเจ้าพบหน้ากัน คนทั้งสองต่างก็มีสถานะที่พิเศษ แต่เจ้าก็ยังคงมองออกถึง ‘วาสนาบางเบา’ ระหว่างกัน อันที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามีวาสนาที่น้อยนิดต่อกัน เพียงแค่เพราะตบะของเจ้ามีจำกัด จึงมองออกอย่างตื้นเขิน”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามเบาๆ “อาจารย์ นี่ก็คือการทดสอบอีกหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว ยังจะต้องทดสอบอะไรอีก? ทำไม อยากจะกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงของท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋า ได้นั่งทัดเทียมกับลู่เฉินในรวดเดียวถึงจะยอมเลิกราอย่างนั้นรึ?”
สายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงกระจ่างใส ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้ามิกล้าคิดเช่นนั้นหรอก”
ลู่เฉินยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ควรจะมอบของขวัญพบหน้าให้กับลูกศิษย์คนใหม่สักชิ้น ของขวัญชิ้นนี้ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็น ‘เต๋า’ เล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์ของเจ้าได้มาอย่างยากลำบากจากอาจารย์ปู่ก่อนหน้าที่จะลงมาที่นี่”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงไปเล็กน้อย
เพิ่งจะตัดขาด ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงกับเฉินผิงอันไปบนเรือคุน ตนก็กลับกลายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีพรสวรรค์ค้ำฟ้าอีกแล้วหรือ?
ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดในใจของแม่ชีสาวหน้าตางดงามออก จึงหัวเราะเสียงดัง ตบป้าบลงไปบนโต๊ะ “ข้าผู้เป็นนักพรตจะพาเจ้าไปเดินบนสะพานแห่งกาลเวลารอบหนึ่ง เดินทวนกระแสขึ้นไป!”
ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด แต่ก็ยังมีกฎใหญ่ของวิถีสวรรค์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือสี่ฤดูกาลใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว และเกิดแก่เจ็บตาย
ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้วิชาอภินิหารของเจ้าลัทธิลู่เฉิน
สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนเป็นหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ และตาย เจ็บ แก่ เกิด
เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่างยังอยู่ในโรงเรียน แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟ้าดินไปชั่วขณะ มองภาพต่างๆ ที่เปล่งประกายหลากหลายสีสันย้อนกลับผ่านไป สายตาของแม่ชีโฉมงามเจิดจ้าระยิบระยับ
นี่ก็คือเส้นทางที่นางอยากเดิน!
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “เดินตามมาด้านหลังข้าผู้เป็นนักพรต ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จะพาเจ้าไปพบคนสองคน”
คนทั้งสองเริ่มออกเดิน ด้านหลังคือเสียงท่องหนังสือดังกังวานของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ เด็กนักเรียนทั้งหลายต่างก็ท่องหนังสือย้อนหลัง เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะพันธนาการบางอย่าง หรือฉีจิ้งชุนมีการแลกเปลี่ยนอะไรกับมรรคาจารย์เต๋า ใบหน้าของพวกเด็กๆ จึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด เสียงที่ดังเข้าหูแจ่มชัดก้องกังวาน แต่อาจารย์สอนหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขากลับไม่อยู่แล้ว ราวกับว่าหายไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ไปตลอดทาง เฮ้อเสี่ยวเหลียงตามติดอยู่ด้านหลังนักพรตสวมกวานดอกบัว กลัวว่าหากตนเดินพลาดไปจะหลงทางอยู่ในนี้
สุดท้ายลู่เฉินหยุดเดิน บอกนางว่ารอสักครู่ เฮ้อเสี่ยเหลียงไม่กล้าขยับ จึงยืนรออยู่ที่เดิม
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ โลกพลิกกลับ ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นตามขั้นตอนปกติ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มไหลรินไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นลู่เฉินก็พานางมาที่แผงใกล้ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์เจ้าลัทธิท่านนี้ถึงพาตนมาที่นี่ หรือว่าแผงนี้มีอะไรผิดปกติ? เฮ้อเสี่ยวเหลียงเพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งกำลังยืนขายถังหูลู่
แล้วเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เห็นเด็กผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมาช้าๆ เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง มองไปทางแผงที่กำลังขายดีแล้วกลืนน้ำลาย รอจนคนซาไปจากแผงนั้นแล้ว เด็กชายก็เดินจากไปเงียบๆ
ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เวลากลางวันและม่านราตรีหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แผงนั้นยังคงทำการค้าเป็นปกติทุกวัน เด็กชายคนนั้นหากไม่กลับมาจากเก็บสมุนไพรบนภูเขา หรือกลับมาจากจับปลาริมลำธาร ไม่ก็ช่วยตักน้ำให้เพื่อนบ้าน ล้วนจะต้องเดินผ่านแผงนี้ทุกครั้ง
ในที่สุดมีวันหนึ่ง เดิมทีเด็กชายควรขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อแลกเอาเงินมา ต่อให้จะแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินมาถึงหน้าตรอกหนีผิงแล้ว แต่พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ตนโชคดีเก็บสมุนไพรที่มีราคามาได้หลายต้น ถังข้าวสารน้อยในบ้านมีข้าวสารบรรจุเต็มเกินครึ่งถังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวโหยไปอีกสิบวัน ดังนั้นเด็กชายจึงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าที่อึมครึมราวกับกำลังบอกตัวเองว่าหากฝนตนลงมา ต่อให้ขึ้นเขา ไปได้ครึ่งทางก็คงต้องกลับมาก่อน
ดังนั้นเด็กชายจึงวิ่งกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ ปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากไหเล็กที่วางไว้ในมุมกำแพง จากนั้นก็วิ่งตะบึงออกจากตรอกหนีผิงไปที่ร้านนั้น
ทว่าขณะที่เด็กชายขยับเข้าไปใกล้แผงขายถังหูลู่มากขึ้นทุกขณะ ฝีเท้าของเขากลับยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ทั้งที่ยังอยู่ห่างจากร้านอีกไกลมาก เด็กชายก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าน่าขันเหมือนคนที่ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง มือเขากำเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้นเอาไว้แน่น
สุดท้ายเด็กชายก็เดินขยับไปอีกสองสามก้าว นั่งยองลง แล้วเงยหน้ามองพุทราเชื่อมสีแดงสดปลั่งเคลือบน้ำตาลมันวาวอย่างเหม่อลอย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!