จางซานนักพรตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันมองเห็นเฉินผิงอันก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะกลับคืน ก่อนจะรับแผ่นหยกมา
เพื่อความยุติธรรม ศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่สวนลมฟ้าหรือภูเขาตะวันเที่ยง แต่เป็นที่หอเทพเซียนหนึ่งในหกสายของศาลลมหิมะ ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักการทหาร เมื่อเทียบกับภูเขาเจินอู่แล้ว ศาลลมหิมะมีสหายกว้างขวางยิ่งกว่า บวกกับที่เวลากระทำการใดๆ ก็มักจะถ่อมตนสำรวมกว่าภูเขาเจินอู่ ลูกศิษย์ในสำนักที่ลงจากภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นจอมยุทธพเนจร ไม่ใช่ไปเป็นนักรบในสนามรบ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีต่อสองสำนักนี้จึงนับว่าไม่เลว ไม่มีทางเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดศาลลมหิมะถึงได้เลือกหอเทพเซียน หนึ่งเพราะหอเทพเซียนตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูง การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพงดงาม หากมองแค่ด้านความงดงามอย่างเดียวก็ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณเซียนเข้มข้นที่สุดของศาลลมหิมะ สองเพราะลูกศิษย์ของหอเทพเซียนมีน้อย ควันธูปกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าอาศัยแค่เว่ยจิ้นให้เป็นผู้ประคับประคองเพียงคนเดียวเท่านั้น และเนื่องด้วยความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ เว่ยจิ้นจึงไม่ได้สนิทสนมกับสำนักมากนัก คิดดูแล้วศาลลมหิมะก็คงคิดจะอาศัยโอกาสครั้งนี้มาเพิ่มควันธูปให้แก่หอเทพเซียน
เฉินผิงอันรู้ผลลัพธ์จากปากของชิวสือก็ตกตะลึงอย่างหนัก สองศึกใหญ่ก่อนหน้านี้สวนลมฟ้าล้วนแพ้ทั้งหมด หนึ่งบุรพาจารย์กับหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงช่วงวัยกลางคนต่างก็ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของคู่ต่อสู้อย่างเขาตะวันเที่ยง ศึกใหญ่ครั้งที่สองที่เป็นของบุรพาจารย์ อันที่จริงต่างก็พินาศกันทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปทีหลังผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้า ศาลลมหิมะจึงตัดสินตามกฎว่าภูเขาตะวันเที่ยงเป็นฝ่ายชนะ
บนหอเทพเซียนที่พื้นที่กว้างขวางไม่มีภาพที่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด สิ่งปลูกสร้างจำนวนน้อยนิดรวมตัวกันอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปที่มีทั้งฐานะและศักยภาพควบคู่กันมาเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติขึ้นหอเรือนมาชมศึก นักพรตคนอื่นๆ ได้แต่ชมศึกจากยอดเขาลูกอื่นของศาลลมหิมะอยู่ไกลๆ
หอเทพเซียนขนาดใหญ่มหึมาเหมือนเป็นพื้นที่ที่มีไว้ให้สองฝ่ายประมือกันเท่านั้น
หลังจากได้พูดคุยกัน เฉินผิงอันถึงเพิ่งค้นพบว่าก่อนหน้านี้นักพรตจางซานไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเลยด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปก็มีหัวสูงอยู่แล้ว และดูถูกแจกันสมบัติทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในเก้าทวีปมาโดยตลอด บางทีอาจมีแค่ไม่กี่ชื่ออย่างสำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษากวานหู ชุยฉานแห่งต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์และเว่ยจิ้นเซียนกระบี่เท่านั้นที่จะเข้าตาของนักพรตกุรุทวีปได้บ้าง
อีกอย่างหนึ่งก็คือด้วยตบะและวิสัยทัศน์ของนักพรตจางซานเองซึ่งไม่ได้อยู่ที่ทวีปใหญ่ คุ้นเคยกับประเพณีนิยมหรือเรื่องราวในแจกันสมบัติทวีปนั่นแหละที่แปลก
สวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงคือศัตรูคู่แค้นกัน เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งทวีป เนื่องจากหลังศึกการประลองกระบี่ครั้งหนึ่ง ในจุดที่ลึกที่สุดของสวมลมฟ้ามีศพของบุรพาจารย์หญิงจากเขาตะวันเที่ยงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งให้ตากแดดมาจนถึงวันนี้ สวมลมฟ้าไม่เพียงแต่ไม่ยอมคืนศพให้ลูกศิษย์ของขุนเขาตะวันเที่ยงช่วยทำพิธีฝังให้ตั้งแต่แรก แม้แต่กระบี่ยาวของสวมลมฟ้าที่แทงเข้าไปในศีรษะของนางก็ไม่เคยดึงออก ปล่อยให้ลูกศิษย์ฝ่ายในสำนักและแขกที่เข้ามาในสวนชื่นชมกันตามใจชอบมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว
อะไรคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง? ก็คือสิ่งนี้แหละ!
ในฐานะผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีป ปราณกระบี่ของเขาตะวันเที่ยงเฉียบคมดุดัน ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาล้วนมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ลำพังเพียงแค่ระดับความเก่งกาจของลูกศิษย์สามรุ่นที่อายุน้อยที่สุดก็เหนือกว่าสวนลมฟ้าไปแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ หกสิบปีก็จะต้องมีคนของเขาตะวันเที่ยงไปท้ารบสวนลมฟ้าเสมอ พยายามที่จะ ‘อัญเชิญ’ ศพของบุรพาจารย์กลับ ให้นางได้ตายตาหลับ แต่เจ้าสวนลมฟ้าผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารสตรีของเขาตะวันเที่ยงในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกสามร้อยปี ต่อให้เวลาสามร้อยปีนี้ ภูเขาตะวันเที่ยงจะมีผู้มากพรสวรรค์โดดเด่นมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ยังคงไม่อาจเอาชนะได้ สำหรับคนที่มาท้ารบในภายหลัง เขาไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่ามีเมตตาปราณีสักเท่าไหร่ บ้างก็สะบั้นสะพานแห่งความอมตะ บ้างก็ทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นี่เท่ากับอยู่ไม่สู้ตาย ไม่สู้รบตายอย่างห้าวหาญยังจะดีซะกว่า
นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุของการกล่าวอ้างว่า ‘สวนลมฟ้าใช้หนึ่งคนสยบหนึ่งขุนเขา’ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้ในที่สุดเจ้าสวนลมฟ้าก็ตายไปได้สักที และในช่วงปีใหม่ ข่าวที่บอกว่าเขาตายในสนามรบนี้ก็แพร่ออกไปอย่างเงียบเชียบ พอดีกับที่เป็นช่วงศึกหกสิบปีซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติพอดี แม้สวนลมฟ้าจะปกปิดข่าวนี้อย่างแน่นหนา ไม่ต้องการให้ความลับนี้แพร่ออกไป แต่ไม่รู้ว่าภูเขาตะวันเที่ยงไปได้ข่าวมาจากที่ไหน ภูเขาที่อยู่ในแต่ละยอดเขาล้วนสะท้านสะเทือน ผู้คนตื่นเต้นฮึกเหิมสุดชีวิต มีคนลากเอาคนในครอบครัวไปจุดธูปดื่มเหล้าเคารวะหลุมศพบรรพบุรุษ ผู้เฒ่าแก่โทรมบางคนที่มีชีวิตรอดไปวันๆ ดื่มเหล้าเมามาย ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยิ่งปณิธานการต่อสู้ลุกโชน ความเจ็บแค้นและความอัปยศที่ต้องทนรับมาสามร้อยปี ในที่สุดก็มีโอกาสปัดเป่าให้หายเกลี้ยง
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากสองศึกใหญ่ผ่านไป ภูเขาตะวันเที่ยงก็ถือว่าคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งยังชนะได้งดงามมาก ถือว่าช่วงชิงกำไรกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นเหตุให้การต่อสู้ของคนรุ่นเยาว์ในช่วงสุดท้าย จะสู้หรือไม่ก็ล้วนเกินความจำเป็นแล้ว
สาวใช้ชิวสือรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นางคิดว่าศึกครั้งสุดท้ายนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำนักที่ชื่อว่าสวนลมฟ้านั่นแพ้ไปสองครั้งแล้ว จะดีจะชั่วบุรพาจารย์ของสวนลมฟ้าที่ลงสนามเป็นคนที่สองก็ต่างกันแค่ลมหายใจเฮือกเดียว ยังพอจะกู้หน้าตากลับมาได้บ้าง หากศึกครั้งที่สามต้องแพ้อีก นั่นก็เท่ากับแพ้สามสนามรวด หากเรื่องนี้แพร่ออกไปชื่อเสียงของสวนลมฟ้าต้องย่อยยับลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หากหยุดตั้งแต่ตอนนี้ สวนลมฟ้ายังจะพอปลอบตัวเองได้ว่าอย่างน้อยก็รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้
เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่เคยขึ้นเขาไปหาต้นอบเชยด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศึกครั้งที่สาม สวนลมฟ้าต้องสู้แน่”
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว หลิวป้าเฉียวไม่ใช่เพื่อนและไม่ใช่ศัตรู นับเป็นคนที่มอบความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุดให้แก่เฉินผิงอันในบรรดาเทพเซียนที่มาจากด้านนอก
เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าสำนักที่สั่งสอนคนอย่างหลิวป้าเฉียวออกมาได้ไม่มีทางถอยหนีเพียงเพราะเรื่องแค่นี้
แล้วก็จริงดังคาด หลังจากสวนลมฟ้า ภูเขาตะวันเที่ยงและศาลลมหิมะสามฝ่ายพูดคุยกันอย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าสำนักศาลลมหิมะที่ใบหน้าเหมือนเด็ก ร่างเล็กเตี้ยท่านนั้นก็พาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินขึ้นมาตรงใจกลางของหอเทพเซียน ประกาศว่าศึกใหญ่ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายภูเขาตะวันเที่ยงคือซูเจี้ย หญิงสาวพกกระบี่เล่มยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าองอาจผ่าเผย หน้าตาเรียกได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายสวนลมฟ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสวน มีนามว่าหวงเหอ เขาแบกกล่องไม้ขนาดใหญ่ไว้ด้านหลัง ไม่รู้ว่าซุกซ่อนกระบี่เล่มใหญ่ขนาดไหนเอาไว้ หรือว่ามีกระบี่ยาวหลายเล่ม
ในขณะที่แทบทุกคนล้วนจับตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคนนั้น เฉินผิงอันกลับโคจรปราณที่แท้จริงในร่างอย่างเงียบเชียบเพ่งสมาธิมองไป ตามหาเงาร่างของใครบางคนที่อยู่ในหอเรือนทั้งหลาย แม้ว่าม้วนภาพจะใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่การที่สิ่งนี้ได้รับความนิยมจากคนทั่วหล้า ก็เพราะสายตาของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนในโลกมองเห็นเม็ดเจี้ยจื่อเป็นเม็ดเจี้ยจื่อ (มัสตาร์ด) แต่มรรคาจารย์เต๋ากลับมองเห็นใต้หล้าทั้งแห่ง คนธรรมดามองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกใบไม้หนึ่งใบเป็นเพียงดอกไม้ใบไม้ แต่ศาสดาพุทธกลับมองเห็นโลกธาตุขนาดเล็กหนึ่งใบ
สายตาของเฉินผิงอันพลันหม่นมัว หยิบชาลิ้นนกกระจกสองสามแผ่นยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
กลางระเบียงทางเดินชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมชุดขาวคนหนึ่งยกสองแขนขึ้นกอดออก กำลังหลุบตามองลงมายังลานกว้างของหอเทพเซียน มีเด็กหญิงหน้าตางามประณีตคนหนึ่งนั่งขี่อยู่บนคอของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงกลางค่อนไปทางขวา บนหอเรือนชั้นนี้มีเหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงรวมตัวกันอยู่ มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนมีบุคลิกลักษณะที่ไม่ธรรมดา ปราณกระบี่มารวมตัวกันเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร เปี่ยมไปด้วยพลังอันล้นเหลือ
เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าชุดขาวคนนั้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ย้ายสายตามองไปยังหอสูงอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือหอชมทัศนียภาพที่หอเทียนเซียนเก็บไว้ให้กับคนของสวมลมฟ้า ตั้งแต่ชั้นบนจรดชั้นล่างมีจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ยืนอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางล้วนถูกเรียกระดมพลให้มาทั้งหมดแล้ว คนของสวมลมฟ้าที่เดินทางมาในครั้งนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กรุ่นหลังที่ยังอ่อนเยาว์ ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวที่นั่งอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนราวระเบียง ท่านั่งไม่สง่างามนัก แต่หลังจากแพ้ไปแล้วสองศึก สีหน้าของหลิวป้าเฉียวก็เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!