บทที่ 223.1 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 223.1 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เทพเซียนเฒ่าที่ยืนอยู่ริมแท่นสูงหยิบขวดกระเบื้องสีชมพูขวดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภายใต้การจับจ้องมองมาของผู้คน เขาเปิดจุกฝาขวดออกแล้วโยนขึ้นไปตรงกลางของแท่นสูง ขวดกระเบื้องกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างเท้าของสตรีอาภรณ์สดใส หลังจากความเงียบผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงพิณดังออกมาจากในขวดกระเบื้อง เสียงเพลงนั้นราวกับเสียงที่ยอดฝีมือกำลังบรรเลงด้วยตัวเอง หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรเลงพิณมาอยู่ตรงนี้จะสามารถฟังออกว่าเสียงพิณเริ่มบรรเลงจากจังหวะเนิบช้า และเมื่อเสียงพิณดังขึ้น สตรีสวมชุดสีสันสดใสก็ค่อยๆ ขยับร่าง ชายแขนเสื้อกว้างและยาวของนางประหนึ่งก้อนเมฆสีรุ้งที่ลอยเคลื่อนคล้อย
เสียงพิณหยุดชะงักลงเล็กน้อย สตรีชุดสีสดก็หยุดตามไปด้วย ยืนค้างอยู่ในท่าอ่อนช้อยไขว้ขาเข้าด้วยกัน
หัวรองเท้าปักลายสีชมพูเขย่งขึ้นเล็กน้อยเหมือนมุมแหลมของดอกบัวตูมดอกเล็ก
หลังจากนั้นเสียงพิณก็เปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว ท่าร่ายรำของสาวงามก็เร็วตามไปด้วย เอวของนางบิดพลิ้วราวกับสายลม ยามที่หันมาชม้ายชายตา ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันลึกล้ำ
เมื่อเสียงพิณขาดๆ หายๆ เดี๋ยวเน้นหนักเดี๋ยวแผ่วเบาเหมือนไข่มุกกำมือใหญ่ถูกเทลงบนถาดหยก
เทพเซียนผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ แล้วพลันชูชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ชายแขนเสื้อแต่ละข้างของเขามีกระดาษยันต์สีเหลืองลอยออกมาสี่แผ่น พอหล่นลงพื้นควันสีเขียวก็ตลบอบอวล ปกคลุมสตรีชุดสีสันสดใสผู้นั้นไว้ภายใน ทุกคนเพียงแค่ได้ยินว่าเสียงพิณถี่กระชั้นมากขึ้น แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของสาวงามจึงเริ่มร้อนใจ และเริ่มคาดหวังรอคอยกันมากขึ้น
ทันใดนั้นเสียงพิณก็พลันดังลั่นประหนึ่งเสียงขวดเงินแตก
และวินาทีนั้นก็เห็นเพียงว่าท่ามกลางกลุ่มควันที่ล่องลอยอยู่นั้นมีดรุณีน้อยสวมชุดขาวพลิ้วไหวแปดคนปรากฏกายอย่างรวดเร็ว พวกนางกระโดดออกไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีชุดสีสันสดใสเป็นจุดศูนย์กลาง ในมือของพวกนางถือกระบี่ยาว ขณะเดียวกันเด็กสาวชุดขาวถือกระบี่ที่เคลื่อนไหวว่องไวก็พากันเปล่งเสียงร้องคล้ายเสียงที่ใช้ในการเซ่นไหว้ทวยเทพของชนเผ่าป่าเถื่อนสมัยโบราณอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่เสียงนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความสง่างามของพวกนาง กลับกันยังเพิ่มลักษณะพลังอันองอาจเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้ชายชาตรีให้กับพวกนาง
ในศาลาที่อยู่ติดกับริมทะเลสาบ แม่ทัพฝ่ายบู๊วัยกลางคนที่นำกองกำลังมาเฝ้าพิทักษ์อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเมืองแยนจือดวงตาเป็นประกาย รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีเขามาที่นี่ตามคำเชิญก็แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น เวลานี้พอได้เห็นภาพนี้เองกับตากลับอดที่จะปรบมือเอ่ยชื่นชมไม่ได้ “เป็นท่าม้าเหล็กบุกตะลุยที่องอาจยิ่งนัก! โดยเฉพาะการที่สตรีหลายคนถือกระบี่พุ่งมาด้านหน้าที่ยิ่งมีพลังอำนาจสมกับท่าทางนี้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว”
ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ไม่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ”
หลังจากนั้นเสียงพิณก็ยิ่งเสียดสูงเข้าสู่ชั้นเมฆ ประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ซัดตลบอยู่ในทะเลเมฆ ส่วนเด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนนั้นก็ยังโอบล้อมอยู่รอบกายสตรีสวมชุดสีสันที่ยืนอยู่ตรงกลางตลอดเวลา พวกนางหมุนตัวเป็นวงอย่างรวดเร็ว ออกกระบี่ว่องไว ส่วนสตรีที่สวมชุดสีสดกลับจงใจชะลอความเร็วในการร่ายรำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กสาวถือกระบี่ที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบแล้วจึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด อีกทั้งมีหลายครั้งที่พวกเด็กสาวถือกระบี่เอนตัวไปด้านหลังแล้วออกกระบี่ ปลายกระบี่อยู่ห่างจากสตรีชุดสดใสแค่นิ้วกว่าๆ เท่านั้น เฉียดฉิวเสี่ยงอันตรายอย่างมากจริงๆ ทว่าสตรีชุดสีสันสดใสกลับแย้มยิ้มประดุจบุปผาผลิบานได้ตลอดเวลา
ภาพเหตุการณ์นี้ที่ปรากฏบนแท่นสูงกลางทะเลสาบทั้งให้ความรู้สึกงดงามคล้ายเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล ทั้งมีเสน่ห์อันน่าตื่นตาตื่นใจ
เทพเซียนผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “เก็บ!”
ในขณะที่สตรีบนแท่นสูงพลิ้วร่างเคลื่อนไหวอย่างว่องไวนั้นเอง แสงกระบี่สีขาวหิมะสว่างพร่างพราวก็พากันสาดยิงออกไปสี่ทิศ บางครั้งก็สาดสะท้อนอยู่บนใบหน้าของพวกแขกที่มาชมการแสดงอยู่ริมทะเลสาบ หลายคนตกใจรีบยกมือปิดหน้า ทว่าเวลานี้เอง หลังจากที่เทพเซียนผู้เฒ่าเอ่ยคำว่า ‘เก็บ’ ออกมาแล้ว
เด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนก็พลันหยุดชะงัก กลายร่างมาเป็นยันต์กระดาษเหลืองหลายแผ่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ เทพเซียนเฒ่ากวักมือเรียก กระดาษเหลืองก็บินกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อของเทพเซียนผู้เฒ่าประหนึ่งฝูงสกุณาที่บินกลับคืนรัง
สตรีสวมชุดหลากสีค้อมตัวลงหยิบขวดกระเบื้องขวดนั้นขึ้นมาแล้วเดินนวยนาดเอามันมาส่งให้กับเทพเซียนผู้เฒ่า จากนั้นจึงหันมาคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยให้แก่แขกที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ แล้วนางก็กลับคืนไปเป็นกระดาษเหลืองหยาบๆ แผ่นหนึ่งไม่ต่างจากเด็กสาวชุดขาว ถูกเทพเซียนผู้เฒ่าเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
การแสดงของเทพเซียนผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลในครั้งนี้ทำให้ผู้ชมทุกคนต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม สยบคนมีเงินทุกคนของเมืองแยนจือที่มาร่วมชมความครึกครื้นได้อย่างอยู่หมัด ทำให้คนบางส่วนที่มีใจคิดจะท้าทาย ‘เซียนซือ’ ไม่มีหน้าฮาป่าใส่เขา
นักพรตหนุ่มอ้อมผ่านบุตรชายเจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงกลางถามเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่สวี มองสายสนกลในออกหรือไม่? ใช่ปีศาจหรือภูตผีตัวประหลาดหรือเปล่า? แต่ว่ากระดิ่งสดับปีศาจของข้าไม่มีความเคลื่อนไหวนะ”
ชายฉกรรจ์เคราดกทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาลูบคลำปลายคางพลางพึมพำกับตัวเองว่า “เด็กสาวชุดขาวคนที่มีใฝตรงมุมปาก หุ่นก้านเหมือนจะไม่เป็นรองสตรีที่สวมเสื้อสีสดเลย”
หลิวเกาหวาที่จมอยู่ในภวังค์ของความตกตะลึงก็พูดงึมงำว่า “ความสามารถมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มิน่าเล่าในตำราจึงมักจะมีบทบรรยายถึงคนที่ขึ้นเขาไปฝึกตนเป็นเซียน หากข้าได้เรียนวิชาของเทพเซียนวิชานี้ วันหน้าไหนเลยจะยังต้องไปดื่มเหล้าที่หอโคมเขียวอยู่อีก”
ชายฉกรรจ์เคราดกคืนสติ หันไปถามนักพรตหนุ่ม “เฉินผิงอันยังไม่กลับมารึ? คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วกระมัง?”
นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะแอบไปฝึกวิชาหมัดแล้วก็ได้”
ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเห็นด้วย “เฉินผิงอันทำเรื่องที่ทำลายความสนุกสนานแบบนี้ได้แน่นอน อันที่จริงกลับไปลองให้คุณชายหลิวเชิญพวกเราไปสถานเริงรมย์ของเมืองแยนจือสักครั้งดูสิ รับรองว่าหากครั้งหน้าเฉินผิงอันยังได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้อีก เขาต้องอยากจะกลับมานั่งอยู่ข้างแท่นสูงกลางทะเลสาบแห่งนี้แทนเป็นแน่”
หลิวเกาหวาเอ่ยอย่างลำบากใจ “จอมยุทธ์ใหญ่สวี ข้ายากจนจนบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแล้ว สภาพของบ้านข้าก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย หากพูดถึงสายลมจันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิง) เมื่อก่อนก็เคยถูกเพื่อนลากไป พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย แรกเริ่มพวกผู้หญิงก็ยังเห็นแก่ที่ข้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมือง เต็มใจพูดจายกยอเอาใจข้า บางครั้งยังเสนอตัวเข้ามาอิงแอบในอ้อมกอด ภายหลังทุกคนต่างก็ด่าข้าลับหลังว่าข้าคือไก่เหล็กที่ขนไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว (เปรียบเปรยถึงคนขี้เหนียว) ขาดก็แค่ไม่ได้ชักสีหน้าใส่ข้าเท่านั้น”
ชายฉกรรจ์เอ่ยสัพยอก “เป็นถึงบุตรของขุนนางกลับกลายมาเป็นคนเส็งเคร็งแบบนี้ได้ก็ถือว่าเจ้าหลิวเกาหวามีความสามารถเช่นกัน ทำไม เรียนหนังสือไม่ได้ดิบไม่ได้ดี ไม่อาจสืบทอดกิจการของบิดา แต่ก็ยังกลัวขายหน้าไม่ยอมหากินทางอื่น ถึงท้ายที่สุดจะไปซ้ายก็ไม่ใช่จะไปขวาก็ไม่สุด วันๆ เลยเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ทำการทำงานแบบนี้น่ะหรือ?”
สีหน้าของหลิวเกาหวาหม่นหมอง เอ่ยเย้ยตัวเอง “หากไม่เป็นเพราะในบ้านมีข้าเป็นบุตรชายคนเดียว บิดาข้าจึงยังอยากให้ข้าสืบทอดควันธูป หาไม่แล้วต่อให้ข้าตายอยู่ในบ้านโบราณ อย่างมากสุดเขาก็คงแค่เขียนคำไว้อาลัยฉบับหนึ่งด้วยถ้อยคำที่กินใจจนคนฟังแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกของพวกเราก็มีแค่นั้นเอง”
ชายฉกรรจ์เคราดกปอกส้มผลหนึ่งแล้วบิครึ่งหนึ่งยื่นส่งให้หลิวเกาหวา ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำปลอบใจใดๆ
ในยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข ผู้คนกินอิ่มนอนหลับไร้กังวล คนหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่สมดั่งใจ
รอจนเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความโชคร้ายทั้งหลายที่คิดไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละที่เรียกว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว
นักพรตหนุ่มเริ่มเป็นห่วงเฉินผิงอันจึงคิดจะลุกไปตามหา เพียงแต่ว่าพอมองไปตามทางระเบียงก็เห็นว่ามีคนเบียดเสียดกันจนหาที่ว่างไม่เจอ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป
……
หลังจากที่ได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขา หม่าขู่เสวียนก็สาบานกับตัวเองว่า การต่อสู้กับคนวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขาต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้าขอบเขตล่างเป็นเช่นนี้ อนาคตเมื่อถึงห้าขอบเขตกลางก็ควรเป็นเช่นนี้ วันหน้าเมื่อเป็นห้าขอบเขตบนก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้!
ดังนั้นเฉินผิงอันเด็กหนุ่มจากบ้านเกิดก็คือปมเล็กๆ ในใจของเขา การฝึกตนของสำนักการทหาร ปมในใจเล็กๆ แค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่มันสร้างความหงุดหงิดขุ่นใจ ในใจหม่าขู่เสวียนย่อมไม่สบอารมณ์ บนภูเขาเจินอู่ที่มีเทพเซียนกองเป็นภูเขา เขายังสามารถเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศ แต่ในอดีตกลับเคยพ่ายแพ้ให้กับเด็กบ้านนอกที่เป็นวรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ อย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันถาม “พบกันแล้วจะสู้กันสักครั้งหรือไม่?”
หม่าขู่เสวียนถูมือ หัวเราะหึหึ “ไม่เป็นไร ต่อให้ใช้ขอบเขตสามต้านทานขอบเขตสามจะไม่ถือเป็นการรังแกเจ้าเฉินผิงอัน แต่เห็นแก่ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าจะพยายามยั้งมือ ไม่ให้พลาดพลั้งฆ่าเจ้าโดยไม่ทันระวังก็แล้วกัน ต่อให้คืนนี้เจ้าจะบาดเจ็บหรือพิการ ในอนาคตรอจนข้าก้าวขึ้นสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว ศึกที่สุสานเทพเซียนก็มากพอจะทำให้เจ้าภาคภูมิใจได้แล้ว เพียงแต่ว่าข้าขอแนะนำอะไรเจ้าสักคำ เจ้าแค่แอบดีใจอยู่กับตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปแพร่งพรายกับคนนอก เพราะหากข้าได้ยินข่าวเข้า ก็จะไม่เกรงใจเจ้าอีกต่อไป”
หม่าขู่เสวียนก้มหน้ามองคนวัยเดียวกันที่สีหน้ายังเป็นปกติ ในใจก็ให้หงุดหงิด โอ้โห รู้จักเรียนรู้ที่จะทำตัวสุขุมเยือกเย็นเสียด้วย ดูท่าการออกเดินทางครั้งนี้ กว่าจะเดินมาถึงแคว้นไฉ่อีก็คงมีประสบการณ์มาบ้าง ใบหน้าของหม่าขู่เสวียนยังคงมีรอยยิ้มประดับ บอกกับตัวเองว่าหลังจากโดนซัดไม่กี่หมัดจนหมอบกระแต ไอ้หมอนี่ก็คงรู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว
หม่าขู่เสวียนเตรียมจะลุกขึ้นกระโดดลงมาจากกำแพง เฉินผิงอันกลับเอ่ยก่อนว่า “ไปสู้กันข้างนอก”
หม่าขู่เสวียนที่นั่งยองอยู่บนกำแพงหงายตัวไปด้านหลังแล้วร่างก็หายวับไป ราวกับว่าหล่นลงไปบนถนนนอกกำแพง
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็แตะปลายเท้าเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนกำแพง เห็นว่าหม่าขู่เสวียนเดินอยู่บนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน กระดิกนิ้วเข้าหาตน
เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น หม่าขู่เสวียนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเกาหัว ปรายตามองไปยังกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เจ้าจะใช้อาวุธอะไรก็ได้ จะไม่ถือว่าเจ้าเอาเปรียบข้า”
เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลง ขยับไปข้างหน้าอย่าง ‘เชื่องช้า’ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราเขย่าขุนเขาทันที
น้ำลึกย่อมไร้เสียง
ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้ เก็บสีหน้าความคิดไว้ภายใน หวนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติ หลักการแห่งหมัดก็คือเหตุผล
แม้มองดูเหมือนหม่าขู่เสวียนจะพูดจาสบายๆ เห็นเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่ง ทว่าเมื่อเขาสงบใจเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเป็นทางการ พลังอำนาจทั่วร่างของเด็กหนุ่มชุดดำก็พลันเปลี่ยนไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางแนบไว้ตรงหน้าท้อง มืออีกข้างหนึ่งกางออกไพล่ไว้ด้านหลัง มือที่กำเป็นหมัดใช้ปลายเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือเบาๆ ด้วยความเคยชิน
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันประมาณสิบกว่าก้าว
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!