หม่าขู่เสวียนพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว บนพื้นถนนที่รองเท้าของเขาเหยียบอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ พละกำลังแทรกซอนลงไปลึกอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีแววว่าจะแผ่ขยายออกไปรอบด้าน เด็กหนุ่มชุดดำมาโผล่ตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาทีแล้วเหวี่ยงหมัดขวาแสกหน้าเขา
เฉินผิงอันกลับปล่อยสองมือออกไปพร้อมกัน เบี่ยงศีรษะเอียงไปด้านข้าง มือซ้ายปัดหมัดขวาของหม่าขู่เสวียนทิ้ง มืออีกข้างหนึ่งคว้าหมัดของอีกฝ่ายที่แทงเสยขึ้นมา ขณะเดียวกันก็โน้มตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกซ้ายกระแทกใบหน้าของหม่าขู่เสวียน
คาดไม่ถึงว่าหม่าขู่เสวียนจะยกเข่าขึ้นแล้วดีดเท้าถีบ สกัดกั้นการจู่โจมของเฉินผิงอันเอาไว้ได้ อีกทั้งยังหงายตัวไปด้านหลัง ถือโอกาสดึงระยะห่างของคนทั้งคู่ หลบศอกที่ตีเข้าหน้าพ้น ทว่านับตั้งแต่ที่หม่าขู่เสวียนระเบิดฝีมืออันแข็งแกร่งออกมา หากโดนเท้านี้ของเขาถีบเข้าจังๆ เกรงว่าไส้อาจจะขาดได้จริงๆ ช่วงเวลาที่เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ท้ารบกับปรมาจารย์ทั่วสารทิศ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า แต่หากถูกหม่าขู่เสวียนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักการทหารซึ่งหล่อหลอมเรือนกายจนเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวโจมตีเข้า ไม่ว่าจะหมัดหรือเท้าก็ต้องกระอักเลือดออกมาหลายคำ
แต่หม่าขู่เสวียนกลับไม่ได้สมหวัง เขาค้นพบว่ามือขวาของเฉินผิงอันคว้าขาของเขาเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเขาออกไป
หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนท่าอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สุดท้ายใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบลงบนกำแพง แล้วก็ค้างอยู่ในท่าที่เรือนกายขนานกับพื้นดิน เดินหน้าไปตามผนังเหมือนเดินอยู่บนพื้นดินด้วยท่าประหลาดนั้น
เฉินผิงอัน ‘เดินเคียงบ่า’ ไปกับเขา ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ใช้สองหมัดโจมตีที่ศีรษะของหม่าขู่เสวียน
ยิ่งไม่ได้ใช้กระบวนท่าหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้บนเรือนไม้ไผ่
การหยั่งเชิงแรกเริ่ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นการลงมือในครั้งแรกจึงยังกักเก็บพลังเอาไว้ ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการหยั่งเชิงฝีมือของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ลงแรงอย่างเต็มกำลัง เพียงแค่เปิดฉากก็ปล่อยพลังอย่างสุดฝีมือ เฉินผิงอันระมัดระวังเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หม่าขู่เสวียนเคยเห็นทัศนียภาพบนภูเขาของเขาเจินอู่มาก่อน แล้วก็เคยได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธ์มาแล้ว ทว่าเขายังก็เก็บอาการถึงขนาดนี้จึงค่อนข้างจะน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเฉินผิงอันซึ่งเป็นคนเพียงคนเดียวที่เคยเอาชนะตนได้แล้ว ส่วนลึกในใจของหม่าขู่เสวียนมีความหวาดเกรงบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ซุกซ่อนอยู่
มาแล้ว!
ผนังกำแพงถูกหม่าขู่เสวียนเหยียบจนเกิดเป็นหลุมสองหลุม
เด็กหนุ่มชุดดำเหมือนลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกมา ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของเฉินผิงอันจมดิ่งลงไปในห้องโอสถ ตวัดเท้าวาดเป็นเส้นโค้ง ไถลลื่นไปด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็พลันเพิ่มแรง เสียงปังดังหนึ่งครั้ง พื้นถนนข้างเท้าก็มีฝุ่นกระจายขึ้นมา ก้อนอิฐที่อยู่ใต้พื้นดินที่สัมผัสกับรองเท้าก็ยิ่งปริแตก
หมัดของหม่าขู่เสวียนเหมือนพายุฝนกระหน่ำ เฉินผิงอันทั้งรุกทั้งถอย ปะทะซึ่งๆ หน้า หมัดต่อหมัด หม่าขู่เสวียนออกหมัดด้วยพละกำลังหนักหน่วง อีกทั้งยังรัวติดต่อกันไม่มีหยุดพัก ลมปราณเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ยืดยาวราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ต่อให้ร่างจะอยู่กลางอากาศ สองเท้าไม่สัมผัสโดนพื้น แต่หม่าขู่เสวียนก็ยังต่อยให้เกิดภาพปรากฎการณ์ของความดุดันได้
อากาศที่ว่างระหว่างคนทั้งสองเกิดเสียงระเบิดดังปึงปัง
ราวกับว่ามีคนกำลังรัวกลองอย่างดุเดือดอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน
เฉินผิงอันถูกเด็กหนุ่มชุดดำต่อยจนถอยกรูดไปหลายสิบก้าวในรวดเดียว หลังของเขาเกือบจะอัดติดกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง
แต่เฉินผิงอันที่ได้เปรียบโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากลับทั้งสามารถยืมแรงและลดทอนแรงจากพื้นดินได้อย่างต่อเนื่อง จนค่อยๆ สั่งสมขึ้นเป็นความได้เปรียบที่ลึกซึ้งบางอย่าง และเวลานี้เอง เฉินผิงอันที่ยังเก็บพละกำลังเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้ในการต่อสู้รอบที่สองก็กระทืบลงไปบนพื้นดินแรงๆ หนึ่งครั้ง นี่ยังไม่พอ เขายังใช้เท้าข้างหนึ่งปักตรึงลงไปบนพื้นดิน หลังจากต้านรับหมัดของหม่าขู่เสวียนไว้ได้แล้ว ก็เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าใส่ซีกหน้าด้านข้างของหม่าขู่เสวียนด้วยแรงที่มากกว่าอีกฝ่ายเป็นเท่าตัว ทำเอาเด็กหนุ่มชุดดำลอยกระเด็น
ทว่าในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ หม่าขู่เสวียนที่ลอยหวือออกไปก็เอาคืนด้วยการปาดเท้าเหวี่ยงมาฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอันอย่างแรง
คนหนึ่งถูกเฉินผิงอันต่อยจนกระเด็นออกไป พลิกกลับร่างเปลี่ยนทิศทางจนสองเท้าสัมผัสโดนพื้น แต่ถึงกระนั้นร่างก็ยังไถลออกไปด้านหลังอยู่ดี
คนหนึ่งถูกหม่าขู่เสวียนเตะจนร่างหมุนคว้าง หัวเข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย หลังจากหยุดยืนได้มั่นคงแล้วก็รีบถอยไปข้างหลังทันที ราวกับว่าจำเป็นต้องปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่
หม่าขู่เสวียนแสยะยิ้มจนเห็นฟันสีขาวสะอาด เขาพอจะเดาความหนักเบาของวิชาหมัด ความเร็วในการออกหมัดและวิธีการโคจรลมปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้คร่าวๆ จึงกระโจนออกไปข้างหน้า ความเร็วนั้นมากจนแทบจะเทียบเคียงได้กับยันต์เทพเดินทางของลัทธิเต๋า
เฉินผิงอันถูกบีบให้ต้องตั้งท่าหมัดที่คล้ายกับการป้องกัน ลูกตาดำของหม่าขู่เสวียนหดรัดตัว และในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้นเอง หม่าขู่เสวียนพลันหมุนตัวกลับ ซอยเท้าถี่รัวหมุนตัวรอบกายเฉินผิงอันคล้ายลูกข่าง ร่างกายเอนไปด้านหลัง จะล้มไม่ล้มอยู่ตลอดเวลา ทิ้งระยะห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน
เฉินผิงอันไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไปง่ายๆ
หลังจากวนครบหนึ่งรอบ ร่างของหม่าขู่เสวียนก็หยัดตรง เดินวนรอบเฉินผิงอันอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “หมัดนี้อันตรายมาก มีชื่อเรียกไหม?”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบคำถามเขา เขาขยับเท้าก้าวออกไปเบาๆ ยืนหันหน้าเข้าหาหม่าขู่เสวียนตลอดเวลา สองมือยังคงตั้งท่าหมัดดังเดิม ปณิธานแห่งหมัดไหลวนไปทั่วร่าง ลมปราณที่แท้จริงในร่างขุมนั้นเหมือนมังกรไฟที่ว่ายวนไปทั่ว
หม่าขู่เสวียนไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ แต่เท้าของเขาก็ยังคงเดินขยับเข้าใกล้เฉินผิงอันอย่างสง่างาม แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “ข้าโง่เอง ไม่โทษเจ้าๆ จะว่าไปแล้วก็ตลก ข้าเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ได้พบเจอกับปรมาจารย์และจอมยุทธ์มามากมาย ตอนที่ต่อสู้กันก็มักจะผลัดกันรุกผลัดกันรับ แถมยังมีพวกคนโง่อีกนับไม่ถ้วนยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ข้างๆ แล้วก็มีการต่อสู้ที่เหมือนลูกเจี๊ยบจิกกันเอง บางคนก่อนจะลงมือมักจะชอบร้องตะโกนให้คอยรับกระบวนท่าให้ดี หรือไม่ก็เป็นพวกชอบป่าวประกาศชื่อกระบวนท่า ราวกับกลัวว่าคู่ต่อสู้จะไม่รู้ว่ากระบี่นั้นหรือหมัดนั้นมีที่มาและแก่นแท้อย่างไร”
หม่าขู่เสวียนยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลง รอยยิ้มมองดูแล้วเกียจคร้านอย่างยิ่ง
แต่ว่าเด็กหนุ่มชุดดำพูดไว้แล้วว่าจะต้องตัดสินให้รู้แพ้ชนะเท่านั้น จิตสังหารของเขาในเวลานี้จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งศึกที่สุสานเทพเซียนเลย
หม่าขู่เสวียนยืนนิ่ง เอ่ยถามว่า “พวกเราเอาแต่ยืนคุมเชิงกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ขอบเขตที่สามของข้ากลับต่อสู้กับเจ้าได้แค่สูสี เฉินผิงอัน เจ้าอยากจะสู้กันให้น่าสนใจกว่านี้สักหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “เจ้าใช้ขอบเขตห้าได้โดยตรงเลย ไม่ถือว่าเจ้าได้เปรียบหรอก”
ก่อนหน้านี้หม่าขู่เสวียนได้เอ่ยคำพูดทำนองนี้มาก่อน ตอนนี้คนพูดน้อยอย่างเฉินผิงอันตอบโต้กลับคืนหม่าขู่เสวียนที่หยิ่งยโสบ้าง ก็เรียกได้ว่าน่าเจ็บใจยิ่งกว่าเขาต่อยเข้าที่หัวของหม่าขู่เสวียนเสียอีก
หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มชุดดำสดใสถึงขีดสุด แต่ในใจก็เดือดดาลสุดขีดเช่นกัน มือข้างหนึ่งของเขากำแล้วก็ปล่อยไม่หยุด ระหว่างห้านิ้วมีสายฟ้าสีขาวหิมะหลายเส้นไหลล้อมวนเวียนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ
ที่แท้การต่อสู้โดยใช้ขอบเขตสามก่อนหน้านี้ หม่าขู่เสวียนได้สละฐานะผู้ฝึกลมปราณของสำนักการทหารทิ้งไปแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนในยุทธภพ ไม่ได้ยึดมั่นหลักคุณธรรมที่สูงส่งสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันกลับไม่มีความขลาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันคือปณิธานหมัดยังไต่ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งน้ำขึ้นที่เพิ่มระดับพรวดพราด
เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาเปลี่ยนจากท่าหมัดโบราณอย่างกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ฉายความคมกริบออกมาอย่างเต็มที่
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หม่าขู่เสวียนตัดสินใจเฉียบขาดว่าต้องสังหารเขาให้ได้
“หม่าขู่เสวียน ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ จะสู้ก็สู้เสียที อย่าเอาแต่พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น”
หม่าขู่เสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่เหลือสีหน้าเกียจคร้านใดๆ อีกต่อไป สายตาของเขาสงบนิ่ง ทั้งไม่มีความจองหองอวดดี แล้วก็ไม่มีอารมณ์ทุกข์สุข
หม่าขู่เสวียนยื่นนิ้วออกมาชี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “กล้าใช้วงกลมที่สองที่ข้าเพิ่งเดินไปก่อนหน้านี้มาตัดสินแพ้ชนะหรือไม่? ใครที่ถอยออกจากวงก่อน คนนั้นแพ้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หม่าขู่เสวียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เดินเข้าไปในขอบเขตวงกลมนั้นอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันจากตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!