จากนั้นก็บอกให้ข้ารับใช้ในเรือนที่เตรียมการรอมานานแล้วยกพิณโบราณ โต๊ะตั้งพิณ กระดานและโถใส่เม็ดหมากล้อม รวมไปถึงโต๊ะตัวใหญ่และสี่สมบัติในห้องหนังสือมา
มนุษย์ทั่วไปมีของสำคัญในชีวิตประจำวันอยู่เจ็ดอย่างอันได้แก่ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและชา ส่วนปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงก็ย่อมต้องมีพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด สิบนิ้วไม่เคยได้แตะต้องงานหยาบ ในชายแขนเสื้อมีแต่สายลมเย็น
เทพเซียนเฒ่าชี้นิ้วไปยังสตรีที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะหมากล้อม กุมมือคารวะแล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ในเมืองแยนจือมียอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมหรือไม่? ขอแค่เอาชนะนางได้ก็เอาโต๊ะและเม็ดหมากล้อมสองโถที่มีมูลค่าเทียบเท่าทองพันชั่งไปได้เลย”
สิ่งของที่อยู่ในจวนแห่งนี้ไม่มีชิ้นใดที่เป็นของราคาถูก
กล้าเอาของออกมาแสดงในจวนของเศรษฐีก็ต้องไม่ใช่ของที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ศาสตร์และศิลป์ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีค่อนข้างจะรุ่งเรือง ยอดฝีมือที่ชื่นชอบประลองหมากล้อมจึงมีไม่น้อย และเพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เดินไปทางแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ พอผู้เฒ่าเผยตัว คนบางคนที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมสูงพอก็ได้แต่นั่งกลับลงไปโดยดี นี่แสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าชุดเขียวต้องเป็นอันดับหนึ่งในวงการหมากล้อมซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างแน่นอน
เทพเซียนเฒ่าและผู้เฒ่าชุดเขียวต่างก็พยักหน้าให้กัน ฝ่ายหลังเดินตรงไปหน้าโต๊ะหมากล้อมแล้วนั่งลง ก่อนจะแข่งขันกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องมีการเดาก่อน ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าอวดดีว่าตัวเองมีฝีมืออยู่ในขั้นเจ็ด หรือคิดว่าคนที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกันจะต้องให้ผู้อาวุโสเลือกก่อน เขาถึงได้คว้าหมากสีขาวขึ้นมากำหนึ่งอย่างไม่เกี่ยงงอน สตรีเล่นหมากล้อมที่จำแลงมาจากกระดาษเหลืองยิ้มบางๆ ก้มตัวลงไปคีบหมากสีดำขึ้นมาสองเม็ด ผลคือผู้เฒ่าได้เดินก่อน
เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังสนั่นไปทั้งริมทะเลสาบ
ในฐานะนักเล่นระดับแคว้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี เดิมทีผู้เฒ่าก็เป็นความภาคภูมิใจของคนในเมืองแยนจืออยู่แล้ว พวกคนดูกู่ร้องให้กำลังใจเขาจึงสมเหตุสมผลดีแล้ว คนบ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยเหลือกันเอง
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็ชี้นิ้วไปยังสตรีสองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนพู่กันโดยชี้ไปทางคนที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ “ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองมีเรื่องให้กังวลใจ ที่วัดซึ่งเพิ่งสร้างใหม่ยังขาดอักษรกลอนคู่ หลังจากนางเขียนเสร็จแล้ว จะนำไปใช้หรือไม่ ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองมีฝีมือด้านการเขียนบทความเป็นที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนัก มีสายตาเฉียบคมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากมองดูเนื้อหาคร่าวๆ แล้วก็น่าจะตัดสินใจได้”
ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดยิ้มๆ แม้จะปลาบปลื้มกับคำชมก็ยังรักษากิริยาเอาไว้
จากนั้นเทพเซียนเฒ่าก็มองไปยังแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเมืองหลิวในศาลาริมน้ำ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ทัพหม่าคือแม่ทัพผู้ห้าวหาญในสมรภูมิรบผู้มีคุณูปการอันโดดเด่น เคยเป็นหนึ่งในเสาหลักพิทักษ์ชายแดนของแคว้นไฉ่อี ผ่านสงครามมานับร้อย แม้ว่าข้าผู้อาวุโสจะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงที่สุด จึงตั้งใจให้นางแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ (เป็นคำที่แสดงถึงการถ่อมตัว) วาดภาพหิมะพร่างพราวให้แก่ท่าน!”
แม่ทัพฝ่ายบู๊ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ “หากวาดได้ดี สามารถวาดกลิ่นอายของความกว้างใหญ่ไพศาลในสนามรบออกมาได้ วันที่ท่านเทพเซียนเฒ่าออกจากเมือง ข้าผู้แซ่หม่าจะไปส่งท่านเดินทางด้วยตัวเองเป็นระยะทางสามสิบลี้!”
เทพเซียนผู้เฒ่ากุมหมัดขอบคุณแม่ทัพฝ่ายบู๊ สุดท้ายเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะพิณ ธูปก้านหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปักอยู่ในกระถางธูปสีทองเหลืองที่ว่างเปล่า เขาจุดไฟด้วยตัวเอง ควันธูปสีม่วงลอยอวลขึ้นมากลางอากาศ
จากนั้นก็หันไปผงกศีรษะให้กับสตรีที่ดีดพิณ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะก้มหน้าเริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง
เมื่อเสียงพิณที่สั่นคลอนจิตใจคนดังขึ้น หัวใจของคนหลายร้อยที่ได้ยินก็ผ่อนคลายตามไปด้วย
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล อริยะสร้างพิณขึ้นมาเพื่อปรับเสียงแห่งใต้หล้า เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าเสียงพิณสามารถระงับความลามกอนาจาร ปรับจิตใจคนให้เที่ยงตรง
ในระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ชายฉกรรจ์เคราดกนั่งแทะเมล็ดแตง จุ๊ปากพูดชม “ลูกเล่นเยอะจริงๆ เพียงแต่ว่าอืดอาดชักช้าไปหน่อยเลยไม่ค่อยน่าสนใจนัก”
เขาไม่มีความรู้ด้านพิณ หมากล้อม พู่กันหรือภาพวาด จึงไม่รู้สึกสนใจ เต็มใจที่จะดูรำกระบี่มากกว่า เอวบางๆ ที่บิดยักย้ายและสะโพกที่ผลุบๆ โผล่ๆ ของคนงามสวมชุดสีสันสดใสกับพวกดรุณีน้อยชุดขาวต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพอันสวยงามที่เขาอยากชม
บัณฑิตหลิวเกาหวาเป็นพวกที่หลงใหลในหมากล้อม จ้องมองไปที่การประลองฝีมือระหว่างผู้เฒ่าชุดเขียวกับสตรีผู้นั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ็บใจก็แต่ตนเป็นลูกหลานขุนนางที่นิสัยไม่เอาไหน เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปดูบนแท่นสูงให้เห็นกับตาตัวเอง
นักพรตจางซานเฟิงร้อนใจจริงๆ แล้ว เขาคอยหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันจะปรากฎตัวเสียที คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วจริงๆ หรอกกระมัง เขาจึงไม่สนว่าใครจะมองมาอย่างไม่พอใจ หลังจากบอกให้คนทั้งสองรู้แล้วก็ลุกขึ้นเบียดฝูงชนไปตามหาเฉินผิงอัน
เทพเซียนเฒ่ายืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายในลาภยศสักการะ ท่าทางลึกลับเกินจะหยั่ง เขาเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่ริมทะเลสาบไว้ในสายตา รู้ดีว่าแผนการครั้งนี้ของตนสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว
……
บนถนนเส้นเล็ก หม่าขู่เสวียนหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทยาเม็ดสีเงินสองเม็ด หลังจากโยนเข้าปากแล้วก็กล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ท่านนี่เหมือนวิญญาณร้ายที่ตามติดจริงๆ”
ดูท่าการฝึกประสบการณ์ในยุทธภพครั้งนี้ อาจารย์คงแอบจับตามองเขาอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้หม่าขู่เสวียนเอือมระอาอย่างยิ่ง เขาพอจะรู้นิสัยของบุรุษที่อยู่ข้างกายคร่าวๆ แล้วว่าเป็นเหมือนก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็งทื่อ เรื่องไหนที่เขาตัดสินใจแล้วก็จะต้องเดินไปให้สุดปลายทาง หม่าขู่เสวียนไม่ได้ร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาเจินอู่ที่ถ่ายทอดเวทลับสำนักการทหาร และมอบสมบัติอาคมล้ำค่าชิ้นหนึ่งให้กับเขาได้เคยอธิบายให้หม่าขู่เสวียนฟังถึงกฎเกณฑ์ของสำนัก นอกจากคำสั่งของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่แล้ว ข้ออื่นๆ ล้วนไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่แท้จริง แต่เจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ปิดด่านมาร้อยปีแล้ว กฎเกณฑ์ทั้งหลายจึงยิ่งหละหลวมและผ่อนคลายมากขึ้น
บุรุษไม่เอ่ยคำใด
การลงเขาในครั้งนี้หน้าที่ของเขาก็คือคุ้มกันให้หม่าขู่เสวียนไปหาเรื่องแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าเหล็กไห่เฉา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันไปถึงการตายของย่าหม่าขู่เสวียน และราชวงศ์ของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาก็เพิ่งจะทำสงครามใหญ่กับศัตรูคู่อาฆาตไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ฝ่ายหนึ่งถึงขั้นเอาทวยเทพร่างทองสูงร้อยจั้งมาใช้ อีกฝั่งหนึ่งก็ใช้วัวดินพิทักษ์แคว้นหนึ่งตัว เดิมทีนี่คือวัวเหล็กที่เซียนในยุคบรรพกาลใช้เฝ้าริมน้ำเวลาที่มีการขนส่งทางน้ำ สงครามครั้งนี้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาเสียหายอย่างสาหัส หม่าขู่เสวียนแอบแฝงตัวเข้าไปข้างใน เพียงค่ำคืนเดียวก็สังหารแม่ทัพฝ่ายบู๊ระดับกลางไปได้สามคน แล้วสะบัดมือจากมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!