นักพรตจางซานเฟิงที่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกอดตาค้างกับท่านี้ของเขาไม่ได้
ชายฉกรรจ์เคราดกยกมือขึ้นกุมขมับ กล่าวอย่างระอาใจ “เดิมทีนึกว่าไอ้หมอนี่มีวิชาหมัดไม่ธรรมดา แบกกล่องกระบี่มานานขนาดนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์น้อยมือกระบี่คนหนึ่งที่เก็บงำฝีมืออย่างลึกล้ำแน่นอน…”
ปราณกระบี่ด้านหน้าแตกกระจายจนหมด เฉินผิงอันทำงานส่วนของตัวเองเรียบร้อยก็รีบมองประเมินความเสียหายของกระบี่ไม้ไหวในมือ แม้ว่าจะเป็นกระบี่ไม้น้ำหนักเบาขนาดกะทัดรัด แต่กลับมีความแข็งแกร่งทนทานอย่างมาก เมื่อปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลของปรมาจารย์วิถีกระบี่แคว้นซูสุ่ยผู้นั้นแล้ว ตัวกระบี่กลับไม่มีความเสียหายแม้แต่จุดเดียว เฉินผิงอันจึงพอจะสบายใจได้บ้าง
ผู้เฒ่าชุดดำคลี่ยิ้มสง่างาม เอ่ยเย้ยตัวเองว่า “คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีคนใช้หมัดหวังปาต้านรับกระบี่ของข้าผู้อาวุโสได้ เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสพูดคำไหนคำนั้น เด็กน้อยเจ้ารับได้แล้วก็คือรับได้แล้ว ข้าผู้อาวุโสจะไม่สร้างความลำบากใจให้ปีศาจจิ้งจอกที่อยู่บนพื้นตัวนั้นอีก พวกเจ้าหนึ่งคนหนึ่งปีศาจจงทำตัวให้ดี ควรรู้ไว้ว่ากรรมตามสนองนั้นไม่ได้สบาย หวังว่าพวกเจ้าจะทะนุถนอมวาสนาที่ยังไม่รู้ว่าดีหรือร้ายครั้งนี้ให้ดี”
ผู้เฒ่าเก็บกระบี่เข้าฝัก เขาที่นั่งขัดสมาธิมาโดยตลอดลุกขึ้นยืน หมุนกายจากไป เดินออกประตูใหญ่ของวัดไปแล้วก็เงยหน้ามองม่านฟ้ามืดทะมึน พลางพึมพำกับตัวเอง “ปีศาจและมารร้ายที่กำจัดไม่หมดสิ้น ภูตผีวิญญาณที่สังหารอย่างไรก็ไม่มีวันลดน้อยลง แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที?”
บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขา ผู้สถาปนาหมู่บ้านวารีกระบี่ท่านนี้พลันหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “หากพวกเจ้าสี่คนสนใจสามารถไปที่หมู่บ้านของข้าผู้อาวุโสได้ ช่วงนี้หมู่บ้านกระบี่กำลังจัดงานรวมตัวผู้นำแห่งยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย จะดีจะชั่วก็ถือเป็นงานมงคลของยุทธภพ หากพวกเจ้าไปถึงหมู่บ้านแล้ว บางทีข้าผู้อาวุโสอาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่พวกเจ้าสามารถไปหาผู้ดูแลฉู่ที่อายุมากที่สุดได้โดยตรง บอกกับเขาว่าเป็นสหายที่ข้าเพิ่งได้รู้จักในยุทธภพ ขอเหล้าแค่ไม่กี่จอกดื่มย่อมไม่เป็นปัญหา”
สุดท้ายผู้เฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน “ความอดทนที่คิดจะ ‘ทำเรื่องที่ดีให้ดีและถูกต้องยิ่งกว่าเดิม’ ของเจ้าในคืนนี้ ตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังไม่แก่ชรา ช่วงวัยตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มถึงวัยกลางคน ข้าเองก็เป็นอย่างเจ้ามาโดยตลอด และมีแต่จะมากกว่า ไม่มีน้อยกว่า ทว่า…ช่างเถอะ คำพูดไม่เป็นมงคลของคนแก่อย่านำมาพูดให้เด็กหนุ่มฟังจะดีกว่า สรุปก็คือหวังว่าเจ้าจะยังยืนหยัดต่อไปได้”
ผู้เฒ่าวัยชราตบกระบี่ยาวตรงเอว เดินจากไปไกลอย่างเงียบเชียบท่ามกลางม่านราตรี
เฉินผิงอันยืนเหม่อ พอหลุดจากภวังค์ หันหน้ากลับไปมองข้างหลังก็เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยตนนั้นหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วชี้หน้าตัวเอง พูดสัพยอก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน วีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม หลังจบเรื่องสาวงามจะเอาตัวตอบแทนหรือไม่ ยังต้องดูกันที่ตรงนี้!”
เฉินผิงอันเอากระบี่ไม้ไหวเก็บไว้ในกล่องไม้ที่เว่ยป้อเป็นคนทำให้ วิ่งเหยาะๆ ไปที่กองไฟ ยื่นมือขยับเข้าใกล้กองไฟพลางชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งหาวอยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายไม่ตั้งใจแต่ก็คล้ายมีเจตนา ฝ่ายหลังยิ้มหน้าเป็นส่งมาให้ “มองอะไร คราวนี้เริ่มอิจฉาความหล่อเหลาสง่างามของข้าแล้วสินะ? เฮ้อ อันที่จริงข้าเองก็อิจฉาเจ้าเฉินผิงอันเหมือนกัน หากข้ามีวรยุทธ์ได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ก็คงกลายเป็นผู้ชายในฝันของจอมยุทธ์และเทพธิดาสาวนับพันนับหมื่นในยุทธภพไปนานแล้ว!”
เฉินผิงอันกลอกตามองสูงใส่อีกฝ่าย ปลดน้ำเต้า แหงนหน้ากรอกเหล้าคำใหญ่เข้าปาก
หลังดื่มเหล้าไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถือน้ำเต้าไว้ในมือ ความสั่นสะเทือนในอารมณ์ไม่ได้เบาสบายอย่างที่แสดงออกภายนอก
การที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้ไปขัดขวางปราณกระบี่ของซ่งอวี่เซาหัวหน้าหมู่บ้านกระบี่ กลับกันยังพาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย หาใช่เฉินผิงอันใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาไม่
เฉินผิงอันถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปยังพื้นที่ว่าง หลังจากรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็หลับตาลง หวนนึกถึงการออกกระบี่ทั้งสามครั้งของผู้เฒ่าอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย ครั้งหนึ่งฟันลงไปที่แท่นบูชาเทวรูป บีบให้ปีศาจจิ้งจอกเผยกาย อีกครั้งหนึ่งบิดข้อมือเบาๆ ปราณกระบี่กลายเป็นตาข่าย ครั้งสุดท้ายแน่นอนว่าคือกระบี่ที่พุ่งเข้าแสกหน้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยังคงไม่ลืมตา แต่กลับดึงกระบี่ไม้ไหวออกมาช้าๆ เอากระบี่มาวางพาดขวางไว้ตรงหน้าอกเลียนแบบผู้เฒ่า เหมือนกระบี่ยังอยู่ในฝัก จะเอาออกแต่ไม่เอาออก
ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเลียนแบบจากต้นฉบับ ต่อให้ฝึกเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ยังทำได้ไม่เหมือน อย่าว่าแต่เหมือนจากความรู้สึกเลย แค่เหมือนจากภายนอกก็ยังยาก
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับในปีนั้นที่เขามองดูแม่นางหนิงฝึกเดินนิ่งหกก้าว
ที่แท้การออกกระบี่ก็ไม่เหมือนกับการฝึกหมัด
เฉินผิงอันถอนหายใจ ได้แต่เก็บกระบี่ไม้ไหวที่ติดตามตนออกเดินทางในยุทธภพมาแล้วสองครั้งกลับลงไปอีกครั้ง
มีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “เฉินผิงอัน กระบี่ไม้ไหวของเจ้าเบาเกินไป ดังนั้นไม่ว่าพยายามทำอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ยกหนักเหมือนเบาคือขอบเขตที่สูงมากของวิถีกระบี่ เจ้าเพิ่งจะเริ่มเรียน แถมยังไม่ใช่คนที่พรสวรรค์เลิศล้ำด้านการฝึกกระบี่ ย่อมรู้สึกว่าจะทำแบบไหนก็ผิดไปซะหมด ไม่พูดถึงเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด เอาแค่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน หากเป็นเรื่องของการฝึกหมัด แค่มีอาจารย์ที่พอจะมีชื่อเสียงช่วยนำทางให้ก็พอแล้ว แต่การฝึกกระบี่จำเป็นต้องมีพระวิสุทธิ์อาจารย์นำทางให้ถึงจะได้ อันที่จริงเจ้าควรจะสอบถามความรู้ด้านวิถีกระบี่จากซ่งอวี่เซาผู้นั้นด้วยความจริงใจ วิถีวรยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สูง แต่เขาได้เดินไปบนวิถีกระบี่ของตัวเองแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
คำพูดที่เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาหมดเปลือกนี้ ไม่ได้ออกมาจากปากของชายฉกรรจ์เคราดก แล้วก็ไม่ได้ออกมาจากปากของจางซานเฟิงที่สามารถบังคับกระบี่ไม้ท้อให้บินฉวัดเฉวียนได้ กลับเป็นคำพูดจากหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุทธภพมากที่สุด ตอนที่พูดประโยคนี้ หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างกองไฟที่ลุกโชติช่วงเพราะกิ่งไม้แห้งจำนวนมากถูกเพิ่มเข้าไป เปลวเพลิงสาดสะท้อนให้เรือนกายที่สูงเพรียวของเขาส่ายไหวไปตามแสงไฟ
จางซานเฟิงกำลังขอคำแนะนำเรื่องวิชาการสกัดจุดในยุทธภพจากสวีหย่วนเสีย หนึ่งคนถามหนึ่งคนตอบ ตั้งใจคุยกันอย่างมาก จึงไม่มีใครสนใจคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง
หรือควรจะพูดอีกอย่างว่า คนทั้งสองไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้ขยับปากเลยสักครั้ง แต่เฉินผิงอันกลับได้ยินเสียงของหลิ่วชื่อเฉิงจริงๆ
เฉินผิงอันถามคำถามที่ประหลาดมาก “เป็นเจ้า? ตอนที่อยู่เมืองแยนจือ ข้าได้ยินเจ้าเมืองหลิวพูดว่า อันที่จริงเจ้าคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทอง เพราะเคยแสดงวิชาอภินิหารครั้งหนึ่งตอนอยู่นอกเมือง”
หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือ ค่อยๆ อ้อมผ่านกองไฟ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะว่า “เอาล่ะ พวกเราสองคนอย่ามัววางอุบายหลอกล่อกันเองอยู่เลย เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือปีศาจใหญ่ ข้าเองก็รู้ว่ากระบี่ที่เจ้าสะพายอยู่ด้านหลังมีภูมิหลังไม่ธรรมดา หาไม่แล้วเมื่อครู่นี้มันก็คงไม่มีทางสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ หลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข้าจึงสั่นสะเทือนส่งเสียงร้องขึ้นมาเอง แม้ว่าเจ้าจะสยบความเคลื่อนไหวของมันได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้าก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ดังนั้นตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า เป็นเทพเซียนฝ่ายใดที่สร้างกระบี่เล่มนี้? เจ้าจะเอาไปส่งที่ภูเขาห้อยหัว เอาไปส่งให้ใคร?”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าคิดจะแย่งกระบี่?”
‘หลิวชื่อเฉิง’ ยิ้มตาหยีคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก เขาเอาสองมือไพล่หลัง ส่ายหน้ายิ้ม “เป็นกระบี่ดีก็จริง แต่ข้าไม่สนใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดประเภทนี้ ไม่เป็นไร ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากนัก เจ้าแค่รอดูเรื่องที่ข้าจะทำก็พอ ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ที่บอกว่า ของดีบนโลกไม่ทนทาน เมฆหลากสีสลายง่ายดั่งแก้วเปราะบาง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยอ่านจากบทกลอนในตำรา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!