กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 239

สรุปบท บทที่ 239.1: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 239.1 – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 239.1 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

กระบี่จงมา – บทที่ 239.1 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้
บทที่ 239.1 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้
โดย
ProjectZyphon
ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเชื่องช้า บุคคลสำคัญดุจยักษ์ใหญ่ของนครจักรพรรดิขาวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนท่านนี้สำรวมกิริยาลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นี่ไม่สมเหตุสมผล

เพราะเรือนกายที่เลื่อนลอยดั่งภาพมายาซึ่งก่อตัวจากสายลมวสันต์ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเป็นเพียงปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางเบาคนหนึ่งเท่านั้น

หลิ่วชื่อเฉิงสังเกตลักษณะของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่งที่น้ำมันแทบจะแห้งขอดเท่านั้น ทว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อีก หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม เกรงว่าคงจะใคร่ครวญหาความเชื่อมต่อใดๆ ไม่เจอ แต่เขาที่สิงอยู่ในร่างของหลิ่วชื่อเฉิงชั่วคราว ในช่วงเวลาที่มีตบะสูงสุดก็คือเซียนขอบเขตสิบสองตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ทรยศออกจากสำนักลัทธิมาร เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ระหว่างก้อนเมฆหลากสี ตั้งอยู่เบื้องใต้กระแสน้ำของแม่น้ำในถ้ำสวรรค์หวงเหอเคยได้เจอกับบุคคลมีความสามารถที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดกลุ่มเขามามากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

ยิ่งเป็นภาพมายาที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก หลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ่งไม่กล้าดูแคลน

ฉีจิ้งชุนใช้สายตาบอกกับเฉินผิงอันให้วางใจ เขายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม เอ่ยแนะนำตัวกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ฉีจิ้งชุน ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ มึนงงเล็กน้อย

คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้วางมาดใหญ่โตอะไร แถมยังมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ว่าเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุน? สำนักศึกษาซานหยา? อะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหนึ่งพันปีที่ตนถูกจางเซียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กำราบไว้นี้มีอริยะที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์จากลัทธิขงจื๊อปรากฎขึ้นอีกสองคน? เพียงแต่คำเรียกขานว่า ‘เหวินเซิ่ง’ นี้ ไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่เพิ่มคำว่าเซิ่งต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่นหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจะได้ตั้งเทวรูปไว้ในศาลเจ้าบุ๋นทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเทวรูปยังอยู่ด้านหน้าๆ อีกด้วย

จะโทษก็ต้องโทษบัณฑิตที่ไม่ได้ความอย่างหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้มีรากฐานตื้นเขินเกินไป วันๆ ไม่ทำอะไรที่มีแก่นสาร ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของในทวีป ดีแต่คิดจะอาศัยความรู้อันน้อยนิดในหัวที่น่าสงสารนั้นไปเกี้ยวพาราสี หลอกล่อหญิงสาวให้หลงคารม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนอย่างบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ต่อให้ผ่านการสั่งสมรากฐานมานานนับพันปี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ต้องมีน้อยจนนับนิ้วได้ ตนไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ

ฉีจิ้งชุนโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ตราผนึกที่หลิ่วชื่อเฉิงสร้างไว้ก็หายวับไป

วิญญูชนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติของทางฝั่งนี้ พวกเขาหันหน้ามามองกันเอง คนที่สวมชุดเต๋าสีชมพูนั่นคือหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนรึ? ทำไมถึงได้มีความชื่นชอบประหลาดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักสวยรักงามแบบนี้? แล้วปัญญาชนชุดเขียวที่ดูมีอายุคนนั้นล่ะเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?

หลิ่วชื่อเฉิงหรี่ตาลง

ถึงขนาดทำลายเวทอำพรางตาของตนได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตบะขอบเขตหยกดิบเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่วิชาอภินิหารลึกล้ำที่สืบทอดมาจากระบบลัทธิมารของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบเต็มตัวคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถทำลายตราผนึกของเขาได้ง่ายดายขนาดนี้

จางซานเฟิงขยับตัวจะลุกขึ้นเดินไปหาเฉินผิงอัน แต่กลับถูกสวีหย่วนเสียคว้าแขนเอาไว้ เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราต่อไป เรื่องของทางฝั่งนั้นเราเข้าไปมีส่วนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง”

จากนั้นชายฉกรรจ์เคราดกก็เห็นว่าปัญญาชนชุดเขียวหันมองมาทางพวกเขา คลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย

สวีหย่วนเสียรีบกุมมือคารวะกลับ

ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสใช่เจ้าหอหลิวหลีแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือไม่?”

หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างคลุมเครือ “ทำไม เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของข้ามาก่อนรึ? เป็นเพราะว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ของข้าดังกระฉ่อนเกินไปจนคนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ยินกันทั่วทุกหัวมุมถนนแล้ว?”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ข้าเคยเดินทางผ่านแม่น้ำหวงเหอ เคยได้พบกับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ริมแม่น้ำหนึ่งครั้ง เลยได้พูดคุยเรื่องของท่านผู้อาวุโส”

ฉีจิ้งชุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการของปีศาจบนโลกนี้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่า ‘มีชีวิต’ ทั้งสิ้น คือการแสวงหาไขว่คว้าวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อได้เป็นผู้แข็งแกร่ง ไร้พันธนาการ ไร้ขื่อไร้แปอย่างไม่ย่อท้อ

ทว่าหลักการของใต้หล้าไพศาลกลับอยู่ที่สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ อาณาประชาราษฎร์ก็จะร่มเย็นเป็นสุข

ฉีจิ้งชุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าไม่คิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล แต่คิดจะใช้กำลังเอาชนะคนอื่น ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องยืมใช้กระบี่มาสะบั้นตบะของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง”

กระบี่เล่มยาวที่ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ซึ่งอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวด้านหลังส่งเสียงร้องอย่างเริงร่าประหนึ่งผืนดินที่แห้งแล้งมานานได้ลิ้มรสฝนหวานฉ่ำ ก่อนจะค่อยๆ ออกจากฝักทีละชุ่น แผ่พลังอำนาจสะท้านฟ้า!

ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงสะบัดโป่งพอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปราณปีศาจท่วมท้นตลอดทั่วทั้งร่าง เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าแน่ใจว่าจะมีโอกาสคว้าอาวุธเทพที่ใช้ต่อกรกับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะเล่มนั้นหรือ? ต่อให้ข้าต่อยดวงวิญญาณของเจ้าให้แหลกเละไม่ได้ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะต่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นเนื้อบดด้วยหมัดเดียว?”

ฉีจิ้งชุนสีหน้าปกติคล้ายกำลังอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุด “ขอแค่ข้าฉีจิ้งชุนยังอยู่บนโลกอีกหนึ่งเค่อ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกศิษย์น้องเล็กของข้าได้แม้แต่ปลายนิ้วก้อย”

หลิวชื่อเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี!”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!