นี่ไม่สมเหตุสมผล
เพราะเรือนกายที่เลื่อนลอยดั่งภาพมายาซึ่งก่อตัวจากสายลมวสันต์ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเป็นเพียงปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางเบาคนหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วชื่อเฉิงสังเกตลักษณะของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่งที่น้ำมันแทบจะแห้งขอดเท่านั้น ทว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อีก หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม เกรงว่าคงจะใคร่ครวญหาความเชื่อมต่อใดๆ ไม่เจอ แต่เขาที่สิงอยู่ในร่างของหลิ่วชื่อเฉิงชั่วคราว ในช่วงเวลาที่มีตบะสูงสุดก็คือเซียนขอบเขตสิบสองตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ทรยศออกจากสำนักลัทธิมาร เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ระหว่างก้อนเมฆหลากสี ตั้งอยู่เบื้องใต้กระแสน้ำของแม่น้ำในถ้ำสวรรค์หวงเหอเคยได้เจอกับบุคคลมีความสามารถที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดกลุ่มเขามามากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
ยิ่งเป็นภาพมายาที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก หลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ่งไม่กล้าดูแคลน
ฉีจิ้งชุนใช้สายตาบอกกับเฉินผิงอันให้วางใจ เขายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม เอ่ยแนะนำตัวกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ฉีจิ้งชุน ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”
‘หลิ่วชื่อเฉิง’ มึนงงเล็กน้อย
คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้วางมาดใหญ่โตอะไร แถมยังมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ว่าเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุน? สำนักศึกษาซานหยา? อะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหนึ่งพันปีที่ตนถูกจางเซียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กำราบไว้นี้มีอริยะที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์จากลัทธิขงจื๊อปรากฎขึ้นอีกสองคน? เพียงแต่คำเรียกขานว่า ‘เหวินเซิ่ง’ นี้ ไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่เพิ่มคำว่าเซิ่งต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่นหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจะได้ตั้งเทวรูปไว้ในศาลเจ้าบุ๋นทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเทวรูปยังอยู่ด้านหน้าๆ อีกด้วย
จะโทษก็ต้องโทษบัณฑิตที่ไม่ได้ความอย่างหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้มีรากฐานตื้นเขินเกินไป วันๆ ไม่ทำอะไรที่มีแก่นสาร ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของในทวีป ดีแต่คิดจะอาศัยความรู้อันน้อยนิดในหัวที่น่าสงสารนั้นไปเกี้ยวพาราสี หลอกล่อหญิงสาวให้หลงคารม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนอย่างบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ต่อให้ผ่านการสั่งสมรากฐานมานานนับพันปี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ต้องมีน้อยจนนับนิ้วได้ ตนไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ
ฉีจิ้งชุนโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ตราผนึกที่หลิ่วชื่อเฉิงสร้างไว้ก็หายวับไป
วิญญูชนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติของทางฝั่งนี้ พวกเขาหันหน้ามามองกันเอง คนที่สวมชุดเต๋าสีชมพูนั่นคือหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนรึ? ทำไมถึงได้มีความชื่นชอบประหลาดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักสวยรักงามแบบนี้? แล้วปัญญาชนชุดเขียวที่ดูมีอายุคนนั้นล่ะเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?
หลิ่วชื่อเฉิงหรี่ตาลง
ถึงขนาดทำลายเวทอำพรางตาของตนได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตบะขอบเขตหยกดิบเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่วิชาอภินิหารลึกล้ำที่สืบทอดมาจากระบบลัทธิมารของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบเต็มตัวคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถทำลายตราผนึกของเขาได้ง่ายดายขนาดนี้
จางซานเฟิงขยับตัวจะลุกขึ้นเดินไปหาเฉินผิงอัน แต่กลับถูกสวีหย่วนเสียคว้าแขนเอาไว้ เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราต่อไป เรื่องของทางฝั่งนั้นเราเข้าไปมีส่วนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง”
จากนั้นชายฉกรรจ์เคราดกก็เห็นว่าปัญญาชนชุดเขียวหันมองมาทางพวกเขา คลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย
สวีหย่วนเสียรีบกุมมือคารวะกลับ
ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสใช่เจ้าหอหลิวหลีแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือไม่?”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างคลุมเครือ “ทำไม เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของข้ามาก่อนรึ? เป็นเพราะว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ของข้าดังกระฉ่อนเกินไปจนคนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ยินกันทั่วทุกหัวมุมถนนแล้ว?”
ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ข้าเคยเดินทางผ่านแม่น้ำหวงเหอ เคยได้พบกับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ริมแม่น้ำหนึ่งครั้ง เลยได้พูดคุยเรื่องของท่านผู้อาวุโส”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!