เฉินผิงอันกลับหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า
ราวกับว่าถูกใครกระชากลากเข้าไปในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง
ทั้งสายตาและทั้งหัวใจของนางพลันวูบโหวง แต่จากนั้นก็เต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล
ในวินาทีที่นางเตรียมจะชักกระบี่ออกมาฟันให้ฟ้าดินแห่งนั้นปริแตกหวังสืบเสาะร่องรอยอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม นางพลันหน้าแดงก่ำ ราวกับได้ยินเสียงบางอย่างจึงร้องอ้อรับหนึ่งที ก่อนจะแค่นเสียงหึเย็นชาใส่ตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป
จากนั้นนางก็พุ่งทะยานไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังลานกว้างตรงตีนเขาเดียวดาย
เจอคนที่แม่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ห่าเหวอะไรอีกครั้ง นักพรตน้อยโมโหแทบระเบิด ขว้างตำราในมือลงพื้นอย่างแรง ดีดตัวผลุงขึ้นมาจากเบาะนั่ง ด่ากราดเสียงดัง “นังเด็กนี่ เจ้าคิดว่าภูเขาห้อยหัวคือลานบ้านของเจ้าหรือไง?! นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สามครั้งแล้วนะ สามครั้งแล้ว! ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชั่วชีวิตก็อาจจะไม่เคยมาเยือนที่นี่สักครั้ง เจ้ากลับดีนัก วันเดียวมาตั้งสองครั้งแล้ว!”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หาวหวอด “เจ้าแน่จริงก็เล่นงานนางเลยสิ”
นักพรตน้อยกล่าวอย่างโมโห “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้า? หากไม่เป็นเพราะข้าสงสารในชาติกำเนิดของนาง ป่านนี้ก็คงต่อยให้นาง…”
เด็กสาวผู้มีบุคลิกองอาจเดินเข้าไปในประตูใหญ่กระจกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเอนตัวมาข้างหลังเล็กน้อย หันหน้ามาพูดว่า “เจ้าจะมาสงสารข้าทำไม ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้าสักหน่อย”
นักพรตน้อยรู้สึกว่าประโยคนี้ของแม่นางน้อยกล่าวได้ไร้เหตุผล แต่ก็เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่นิดๆ
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่บนเสาผูกม้าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
……
หน้าประตูร้านเหล้าในภูเขาห้อยหัวแห่งเดียวกัน หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมานอกร้าน เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบ
แต่หลิวโยวโจวกลับนั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณนอกกำแพงสูงของเรือนหลังหนึ่ง กำลังนับมดอย่างคนว่างงาน
ส่วนหญิงชราเซียนพสุธาก็คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่รบกวนอาการเหม่อลอยของนายน้อยตัวเอง
ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา หลิวโยวโจวที่ดวงตาฉายประกายคมกล้าลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับหญิงชราเหมือนอยากโอ้อวดความรู้ของตน “ข้ามองจนเข้าใจแล้ว มดที่เติบโตอยู่ในภูเขาห้อยหัวไม่ได้แตกต่างจากมดที่เกิดในหมู่บ้านคนธรรมดาเลย”
หญิงชราเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของเด็กหนุ่มแล้วจึงยิ้มบางพยักหน้ารับเบาๆ
หลิวโยวโจวชำเลืองตามองไปยังต้นไหวโบราณด้วยความสนใจที่ไม่มากนัก “ไม่ซื้อแล้วๆ แพงเกินไป ข้าเสียดายเงินอั่งเปาที่ตัวเองสะสมมาตั้งนานหลายปีพวกนั้น”
หญิงชราโล่งอก นางกลัวจริงๆ ว่าด้วยความบุ่มบ่าม นายน้อยจะทุบหม้อข้าวขายเหล็กซื้อเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไหมาจริงๆ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางดื่มเหล้าหวงเหลียงนี้เข้าไปไม่มีความหมายมากนัก ต่อให้สกุลหลิวธวัลทวีปจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่ควรใช้เงินมือเติบถึงขนาดนี้ ถึงเวลานั้นนายน้อยไม่มีทางถูกลงโทษแน่นอน ไม่แน่ว่าเจ้าประมุขและเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายอาจจะยังกัดฟันเค้นรอยยิ้ม พูดชมเชยว่าไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานสกุลหลิว ใจกว้างดุจแม่น้ำ จ่ายเงินตาไม่กะพริบก็ควรเป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวควรต้องมีไม่ใช่หรือ?
แต่นางกลับต้องโดนตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใช่ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองเด็กหนุ่มด้วยสาเหตุนี้ แต่นางอยากให้เด็กหนุ่มได้ดียิ่งกว่านั้น เงินอั่งเปาตั้งมากมาย เอามาซื้ออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ? จะต้องเอาไปซื้อเหล้าไหหนึ่งเพียงเพื่ออยากเอาชนะทำไม?
หลิวโยวโจวเดินย้อนกลับไปที่จวน แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ท่านยายหลิ่ว ท่านว่าท่านน้าหลิ่วกลับมาจากทุ่งราบน้ำแข็งทางเหนือสุดหรือยัง?”
ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึง ‘น้าหลิ่ว’ บนใบหน้าที่ยับย่นของหญิงชราเผยประกายแห่งความภาคภูมิใจออกมาในทันที “น่าจะกลับมาแล้ว หากโชคดี นังหนูนั่นก็น่าจะเลื่อนสู่ขั้นเก้าของขอบเขตวรยุทธ์แล้ว นายน้อย ตามข้อตกลง ถึงเวลานั้นสามารถบอกให้นางพาท่านไปหาประสบการณ์ที่ทุ่งน้ำแข็ง สังหารปีศาจใหญ่ได้”
ถึงอย่างไรหลิวโยวโจวก็ยังมีนิสัยเป็นเด็ก น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย “จะรีบเป็นขอบเขตเก้าเร็วอะไรขนาดนั้น ท่านพ่อข้าบอกว่าขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีวรยุทธ์ของน้าหลิ่วมีความหมายมาก ทำให้นางไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ขอบเขตสิบปลายทางที่อ่อนแอเลย บิดาข้าเลยพูดเกลี้ยกล่อมน้าหลิ่วตรงๆ บอกว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็อย่าฝ่าทะลุขอบเขตง่ายๆ”
หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าประมุขย่อมต้องหวังดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่กลับระงับเอาไว้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว นี่กลับไม่ใช่เรื่องดี เกรงว่าคงจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดในการเลื่อนขอบเขตเหนือขอบเขตสิบขึ้นไป แน่นอนว่าหากเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาก็แล้วไปเถอะ เพราะว่าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างถูไถก็ถือว่าเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว แต่น้าหลิ่วของเจ้ากลับไม่ใช่แบบนั้น”
หลิวโยวโจวไม่เคยสนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาอยู่แล้ว กลับกันคือหันไปคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องที่สุดแทน เขาถอนหายใจกล่าวว่า “น้าหลิ่วก็จริงๆ เลย วันๆ เอาแต่พูดว่าผู้ชายดีๆ ในใต้หล้าไปตายที่ไหนกันหมด แถมยังชอบมาถามข้าว่าเจอผู้ชายดีๆ บ้างหรือไม่ ข้าเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะตอบนางอย่างไร? แต่ท่านพ่อข้าแนะนำคนหนุ่มที่โดดเด่นของธวัลทวีปให้กับนางตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นว่าน้าหลิ่วจะสนใจ น่าปวดหัวจริงๆ”
ความคิดของหลิวโยวโจวเหนือล้ำเกินคนธรรมดาไปไกล เขาถามคำถามที่ทำให้หญิงชรารู้สึกขบขับอีกครั้ง “หากมีวันหนึ่งกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจกลบทับกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จ จะทำอย่างไร? มดรังนั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินกันช้าขนาดนั้น ถึงเวลาคิดจะย้ายบ้านคงไม่ทันกาลกระมัง?”
หญิงชราสีหน้าปราณีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายน้อย กำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งตระหง่านไม่ล้มมากี่ปีแล้ว มีใต้หล้าแห่งนั้นกั้นขวางอยู่ ประมาณทุกๆ ร้อยปีเผ่าปีศาจจะต้องมีศึกนองเลือดครั้งใหญ่เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ เดรัจฉานป่าเถื่อนเหล่านั้นต้องทิ้งศพไว้ใต้กำแพงเมืองตั้งเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปมือเปล่าทุกครั้งไม่ใช่หรือ? ปีศาจใหญ่ที่พลังการต่อสู้น่าครั่นคร้ามบางส่วน อย่างมากสุดพวกมันก็ได้แค่ขึ้นมายืนบนหัวกำแพงเมืองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องถูกเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขับไล่ออกไป”
หลิวโยวโจวร้องอ้อหนึ่งที แต่สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ความคิดเดิมของตัวเองอย่างไม่อาจถอนตัวออกมาได้ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “จวนหยวนโหรวของพวกเรายังสู้รังมดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถย้ายไปไหนได้ ยังดีที่ธวัลทวีปอยู่ห่างจากภูเขาห้อยหัวไกลที่สุด เฮ้อ นาตยทวีปสิที่น่าสงสาร ถึงเวลานั้นควันดินปืนคงลอยไกลนับหมื่นลี้เลยกระมัง ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่านนั้นจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ สกัดกั้นเผ่าพันธ์ปีศาจที่มีมืดฟ้ามัวดินไว้ข้างนอกแผ่นดินได้หรือไม่”
หญิงชราหลุดหัวเราะขำกับอาการตีตนไปก่อนไข้ของนายน้อยตัวเอง “ใช่สิ ระหว่างธวัลทวีปของพวกเรากับภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ ไม่เพียงแต่มีนาตยทวีปกั้นขวาง ยังมีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ต่อให้เอาอาณาเขตของอีกแปดทวีปมารวมกันก็ยังสู้ไม่ได้อยู่อีกด้วย นายน้อยจะต้องกังวลอะไร”
หลิวโยวโจวพึมพำ “ข้าไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของธวัลทวีปหรอก แค่รู้สึกว่าสงครามทำให้คนตายมากมาย เลยไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ จะดีจะชั่วนาตยทวีปก็ยังมีบุคคลอันดับหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งคอยบัญชาการณ์ แต่พวกเราต่างก็เคยไปเยือนอาคเนย์ใบถงทวีปมาแล้ว อีกเดี๋ยวยังจะไปที่ฝูเหยาทวีปด้วย ดูเหมือนว่าทั้งสองแห่งนั้นจะไม่มีใครที่ร้ายกาจมากพอจะเอาออกหน้าออกตาได้”
หญิงชรายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม “นายน้อย จะเอาทุกคนมาเปรียบเทียบกับบิดาของท่านไม่ได้หรอกนะ ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่สู้เจ้าประมุขของพวกเราไม่ได้ก็ไม่ร้ายกาจแล้วหรือ? คิดแบบนี้ไม่ได้หรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!