สรุปเนื้อหา บทที่ 278.2 สามศึกของขอบเขตสี่สองคนบนหัวกำแพงเมือง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 278.2 สามศึกของขอบเขตสี่สองคนบนหัวกำแพงเมือง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
หนิงเหยาเห็นสีหน้าของเฉินผิงอันแล้วก็หยุดพูด “ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องพูดถึงข้าแล้ว”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ของเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่?”
หนิงเหยาหัวเราะไม่จริงใจ “หึหึ”
เฉินผิงอันยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “หึหึน่ะเท่าไหร่?”
หนิงเหยาอดกลั้นอยู่นาน เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีจะถอดใจยอมแพ้จึงได้แต่ตอบไปตามตรงว่า “ก็นานแค่ ‘หึหึ’ นี่แหละ ข้าเพิ่งจะฟังคาถาสิบแปดหยุดเสร็จก็ทำสำเร็จทันทีเลย”
เฉินผิงอันถอนหายใจดังเฮ้อหนึ่งที รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเงียบๆ หนึ่งอึก “ตอนนั้นเรียนวิชาเขย่าขุนเขา เรียนวิชาหมัดเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เรียนสิบแปดหยุด ฝึกกระบี่ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าคงไล่ตามเจ้าไม่ทันแล้วใช่ไหม แล้วจะกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ได้อย่างไร…”
แต่ยังไม่ทันรอให้หนิงเหยาได้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันก็คิดตกด้วยตัวเองเสียก่อน “แต่ไม่เป็นไร ข้าวยังต้องกินไปทีละคำ คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็เป็นข้อดีของคนอื่นเขา แค่ตัวเองรู้ว่าตัวเองจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็พอแล้ว ต่อให้ช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้รับปากเจ้าว่าจะฝึกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้ง ตอนนั้นแม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่กล้าคิดว่าชีวิตนี้จะทำได้สำเร็จ ผลกลับกลายเป็นว่าแปบเดียวก็เหลืออีกแค่สองหมื่นหมัดแล้ว วันหน้าจะเป็นอย่างไร ใครจะรู้ได้”
หนิงเหยาถาม “คนอื่น?!”
เฉินผิงอันที่พูดผิดมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
หนิงเหยาคิดแล้วก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันปลดแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวลงมา กล่าวอย่างลังเลใจว่า “แต่ข้าน่าจะผ่านด่านได้ก็ต่อเมื่อถึงยามจื่อของวันพรุ่งนี้”
หนิงเหยากลับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วฉับไว “เจ้าเก็บของซะ ข้าจะพาเจ้าไป เจียวหลงเจินจวินอะไรนั่นบอกเองไม่ใช่หรือว่ามีเรื่องอะไรให้ไปหาพวกเขา ภูเขาห้อยหัวเป็นคนพูดเองก็ไม่ควรจะผิดคำพูด ไปกันเถอะ”
ที่ภูเขาห้อยหัวไม่มีอะไรให้เฉินผิงอันต้องเป็นพะวงอยู่แล้ว คิดว่าไปฝึกหมัดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน จึงเก็บของทั้งหมดที่วางบนโต๊ะใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ ตอนที่หนิงเหยาได้เห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้อีกครั้ง นางเอ่ยเตือนว่า “เป็นทั้งกระบี่บิน แล้วก็เป็นทั้งวัตถุฟางชุ่น หาได้ยากมาก ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี”
ของที่ขนาดหนิงเหยายังรู้สึกว่า ‘หาได้ยาก’ นั่นแสดงว่าต้องมีมูลค่าควรเมืองที่ไม่ธรรมดา เฉินผิงอันจึงพยักหน้ารับและจดจำเอาไว้
เฉินผิงอันไปบอกให้จินซู่รู้ก่อนว่าจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ล่วงหน้า
แม่นางกุ้ยฮวาผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเองด้วยความคิดที่ประเดประดังเข้าหา สุดท้ายนางยิ้มบางๆ กล่าวอำลาเฉินผิงอันและแม่นางหนิง
ออกจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่อยู่ทางแถบท่าเรือจัวฟ่าง หนิงเหยาก็พาเฉินผิงอันไปที่ภูเขาเดียวดาย ผลคือพอนักพรตเด็กที่ครอบครองเก้าอี้ลำดับสองของภูเขาห้อยหัวได้อย่างมั่นคงชำเลืองตามาเห็นป้ายหยกผ่านด่านที่ไม่ถูกกฎของเด็กหนุ่ม แล้วหันมามองนังหนูที่มีสีหน้าท่าทางปกติราวกับว่าสิ่งที่ตนทำอยู่สมเหตุสมผล นักพรตน้อยก็โมโหจนกระโดดผางขึ้นมาจากเบาะนั่งอีกครั้ง ยังดีที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเอ่ยอธิบายเสียก่อน “ท่านเซียนผู้นี้ ก่อนหน้านั้นพวกเราเจอกับเจียวหลงเจินจวินที่หอเหลยเจ๋อ เขาบอกกับแม่นางหนิงว่า อาจารย์ของท่านผู้อาวุโสเฒ่าได้กำชับมาแล้วว่าสามารถให้แม่นางหนิงเป็นกรณียกเว้น หากท่านเซียนไม่วางใจก็ไปปรึกษากับเจินจวินผู้เฒ่าได้ หากไม่ได้จริงๆ คืนพรุ่งนี้ข้าค่อยมาที่ประตูนี้ใหม่ก็ได้”
นักพรตน้อยชำเลืองหางตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเป็นใคร คนรักของแม่นางน้อยคนนี้รึ?”
เฉินผิงอันไม่พูด แค่กะพริบตาปริบๆ ทำตัวแสร้งโง่ใส่นักพรตน้อย
นักพรตน้อยพูดคุยกับเจียวหลงเจินจวินซึ่งหากนับตามศักดิ์แล้วถือเป็นศิษย์หลานของเขาผ่านทางจิต จากนั้นก็มองประเมินทั้งหนิงเหยาและเฉินผิงอันอีกครั้ง “พวกเจ้าสามารถผ่านด่านไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้ว”
ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว นักพรตน้อยจึงไม่สร้างความลำบากใจให้คนทั้งสองอีก เขานั่งแปะกลับลงไปบนเบาะ และคงรู้สึกว่าแม่นางน้อยน่าโมโหเกินไป จึงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง กางแขนกางขา นอนอ้าซ่าอยู่บนเบาะ จากนั้นก็เปิดตำราของลัทธิเต๋าแล้วเอามาวางปิดหน้าตัวเอง สายตามองไม่เห็น จิตใจจะได้ไม่ขุ่นเคือง
หนิงเหยายื่นมือมาจับมือของเฉินผิงอันพลางพูดเบาๆ “จำไว้ว่า หลังข้ามเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว การถูกน้ำทะเลปราณกระบี่กรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณคือเรื่องปกติ เจ้าจะร้อนรนไม่ได้ ยิ่งร้อนใจลมปราณก็ยิ่งยุ่งเหยิง มีแต่จะทำให้แย่ยิ่งขึ้นไปอีก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว จะคิดว่าข้ากำลังปั้นดินขึ้นรูป ขอแค่จิตใจมั่นคง ทุกอย่างก็มั่นคงตามไปด้วย”
หนิงเหยากลอกตา “คนบ้านนอก!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมมือของนาง
หนิงเหยาสาวเท้าเร็วๆ ลากเฉินผิงอันก้าวเข้าไปในประตูกระจกอย่างรีบร้อน
ชายฉกรรจ์กอดดาบที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้าจุ๊ปากพูด “เด็กหนุ่มของที่นั่นคงมีคนบ้าคลั่งกันไม่น้อย สิ่งที่เจ้าเด็กโง่คนนี้จะได้รับหลังจากนี้ เกรงว่าคงไม่ดีไปกว่าเผ่าปีศาจสักเท่าไหร่”
นักพรตน้อยที่ใบหน้าถูกปิดทับด้วยหนังสือกล่าวอย่างอัดอั้น “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยชอบนิสัยเอาแต่ใจของนังหนูนั่นสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่านางถูกเด็กโง่คนหนึ่งหลอกก็อดสงสารไม่ได้ หนึ่งฟ้าหนึ่งดิน สองคนนี้จะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่การจับคู่ยวนยางส่งเดชหรอกหรือ ใครเป็นคนผูกด้ายแดง? แสดงตัวออกมาเลย ข้าจะแทงให้เจ้าเฒ่าจันทราเฮงซวยผู้นี้ตายซะเลย อืม ไม่สิ เอาแค่กึ่งตายก็พอ อีกครึ่งชีวิตที่เหลือจะได้เอาไว้ให้ข้าด่าจนตาย”
บนยอดหอสูงของภูเขาเดียวดาย หนึ่งในสามกระดิ่งตรีวิสุทธิ์ส่งเสียงดังติ๊ง เพียงแต่ว่าเบามากจนแทบไม่ได้ยิน ไม่ได้ดังก้องไปทั่วทั้งภูเขาห้อยหัวเพื่อป่าวประกาศให้ผู้คนใต้หล้ารับรู้
จากนั้นลมปราณขุมหนึ่งก็พุ่งผ่านสมองของนักพรตน้อยเข้าไปยังตำรา แล้วหนังสือเล่มนั้นก็เหมือนมีจิตวิญญาณเข้าสิง จึงประกบเข้าหากันดังเพี๊ยะ จากนั้นก็ตบซ้ายตบขวาลงบนใบหน้าของนักพรตน้อย เกิดเป็นเสียงดังกังวาน
นักพรตน้อยที่ไม่ทันได้หลบเลี่ยงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แล้วก็พลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง รีบกุมหัวร้องวิงวอน “อาจารย์อา ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…”
……
พอก้าวเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หัวใจของหนิงเหยาหดเกร็ง แต่ไม่นานก็ปล่อยวางได้
ที่แท้หลังจากนางพาเฉินผิงอันข้ามผ่านกระจกฝั่งของภูเขาห้อยหัวมา ก็ไม่ได้ปรากฏตัวใกล้กับบริเวณหน้าประตูใหญ่ที่มีผู้เฒ่าน่าหลันและนักพรตหญิงซือเตาเฝ้าอยู่ แต่ตรงมาที่หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยตรง ข้ามผ่านระยะทางยาวไกลสองช่วงที่ต้องลอดผ่านตัวเมืองและช่วงเดินขึ้นหัวกำแพงเมืองมาแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเฉินผิงอันคงต้องทรมานมากเป็นแน่
แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คาด
เฉินผิงอันที่มาเยือนหัวกำแพงเมืองกะทันหันใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าเขียว สุดท้ายคือสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
ทว่าสายตาของเฉินผิงอันกลับยังคงใสกระจ่างดุจน้ำในบ่อโบราณที่ไร้คลื่นกระเพื่อม
คราวก่อนหน้านั้นกะทันหันเกินไป คราวนี้พอจะเตรียมใจมาก่อนบ้างแล้ว ต่อให้เดินขึ้นฟ้าแค่ก้าวเดียว มาถึงหัวกำแพงที่ปราณกระบี่เข้มข้นรุนแรงที่สุดโดยตรง แต่เฉินผิงอันก็เคยชินกับการทนรับความยากลำบากมานานแล้ว ครั้งนี้ก็แค่เหมือนกลับไปบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เท่านั้น ขอแค่ไม่ตายคาที่ จิตใจของเฉินผิงอันก็เป็นเหมือนเสาผูกม้า เหมือนเสาหินที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ
บริเวณใกล้เคียงหัวกำแพงช่วงที่คนทั้งสองยืนอยู่นี้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ที่เดินลาดตระเวนหรือกำลังขัดเกลาวิถีกระบี่
ผู้เฒ่าหลังค่อมผอมบางผู้หนึ่งเดินหนึ่งก้าวจากตำแหน่งเดิมของตัวเองมาถึงที่แห่งนี้ เขายิ้มมองหนิงเหยา หนิงเหยาจึงหน้าแดงเล็กน้อย
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม เอาสองมือไพล่หลัง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมองตัวตนของเด็กหนุ่มจากต้าหลีออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่วันนี้เขาก็ยังปั่นหัวเฉินผิงอันอีกรอบ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นอย่างนี้จริงด้วย”
จากนั้นผู้เฒ่าก็พึมพำด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ต่อให้อาเหลียงอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปี จิตวิญญาณบัณฑิตเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่บนร่างนั่นก็ยังถูกขัดเกลาไม่เอี่ยม หาไม่แล้วพอได้กระบี่เล่มนั้นมา ฝีมือของเขากับเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็ต้องสูสีกันครึ่งต่อครึ่งแล้ว แต่นี่กลับยอมสละทรัพย์สินของตัวเอง อยู่ฟ้านอกฟ้าใช้แค่หมัดอย่างเดียว นี่จะมีความหมายอะไร มีอย่างที่ไหนเป็นผู้ฝึกกระบี่แต่ดันไม่มีกระบี่ นักพรตคนหนึ่งก็ดันทำตัวเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว…แต่จะว่าไปแล้วด้วยนิสัยของนาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมติดตามอาเหลียง…แต่มาเลือกเด็กหนุ่มที่ธรรมดาคนนี้ก็มองดูไม่มีเหตุผลเหมือนกัน หรือว่าเป็นการดิ้นรนก่อนตาย เพราะไม่อยากสาบสูญไปจากฟ้าดินแห่งนี้? ไม่ถูกสิ ด้วยนิสัยของนางต้องไม่ได้คิดแบบนี้แน่ นางหยิ่งทระนงในตัวเองจะตาย ก็คล้าย…พูดอย่างนี้ไม่ถูก ต้องพูดว่าเหมือนนางสุดๆ ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใครกันที่เป็นคนโน้มน้าวนางได้สำเร็จ? ฉีจิ้งชุนสายของเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุนเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ความรู้เขาน่าจะสูงมากก็จริง แต่เดิมทีเขากับนางก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน ตามหลักแล้วน่าจะโน้มน้าวนางไม่ได้…แปลกใจจริง…”
แม้ว่าผู้เฒ่าแซ่เฉินคนนี้จะอยู่ใกล้กับหนิงเหยาในระยะประชิด อีกทั้งผู้เฒ่ายังไม่ได้พูดในใจ แต่เอ่ยออกมายาวเหยียด ทว่าหนิงเหยากลับไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าคิดไม่ออกเลยไม่คิดให้มากความอีก
เรื่องราวในใต้หล้ามีมากมายเกินไป ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวย่อมไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ
แล้วนี่แม่งยังไม่ใช่แค่เรื่องของใต้หล้าแห่งเดียวด้วย
เฉินผิงอันขยับจากขวามาซ้าย ส่วนเฉาสือที่พักอยู่ในกระท่อมหลังเล็กขยับจากซ้ายมาขวา
สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดการฝึกฝน ต่างคนต่างเดินหน้าต่อ สุดท้ายสวนทางกันอยู่ไกลๆ
ตอนนี้ปณิธานหมัดบนร่างของเฉินผิงอันเบาบางมาก เพราะส่วนใหญ่ถูกปราณกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ข่มทับไว้จนกระดุกกระดิกไม่ได้
บนร่างเฉาสือกลับสร้างพายุหมัดที่โถมกระหน่ำซึ่งไหลทะลักทลายออกมาข้างนอก มองด้วยตาเปล่าก็ยังเห็น ราวกับว่าเขากลับเป็นฝ่ายที่สยบกำราบปราณกระบี่รอบหัวกำแพงเสียเอง
ในขณะที่เฉินผิงอันเดินนิ่งไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายขยับเข้าใกล้กระท่อมที่พักของเซียนกระบี่ผู้เฒ่า เฉาสือก็ต่อยหมัดครบหนึ่งรอบและตามมาทันเฉินผิงอันพอดี
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเห็นหนิงเหยาที่ยืนอยู่ข้างเซียนกระบี่ผู้เฒ่า
ส่วนเฉาสือก็มองเห็นเผยเปยราชครูต้าตวน เทพีแห่งการต่อสู้ อาจารย์ของตนที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่า
หลังจากแน่ใจแล้วว่าการฝึกหมัดของเฉินผิงอันมีการพัฒนา หนิงเหยาถึงได้นำพาเขาให้เดินมาทางกำแพงทางทิศเหนือบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมของผู้เฒ่าอย่างวางใจ ตอนนี้นางพาเขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง มองไปยังที่ตั้งของเมือง บอกเขาว่าบ้านของตัวเองอยู่ตรงไหน เพื่อนๆ ของนางอาศัยอยู่ตรงไหนกันบ้าง
และห่างจากด้านหลังของพวกเขาไปไม่ไกล เฉาสือกำลังฝึกหมัดท่าใหม่ ส่วนเทพีแห่งการต่อสู้ก็ยิ้มบางๆ มองอยู่ด้านข้าง คอยชี้แนะข้อบกพร่องบางจุดของวิชาหมัดให้เขาเป็นระยะ
คืนนั้นเทพีแห่งการต่อสู้ยืนหลับตาทำสมาธิอยู่บนหัวกำแพง
เฉาสือฝึกหมัดตลอดทั้งคืน
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งถึงกลางดึก ครึ่งคืนหลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงทิศเหนือ ค้างอยู่ในท่าเจี้ยนหลู ค่อยๆ เข้าสู่นิทรา
เช้าตรู่วันที่สอง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ามาหาทั้งสองฝ่ายแล้วเสนอแนะให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กัน
เฉาสือยังไงก็ได้
เฉินผิงอันเองก็ไม่มีความเห็นต่าง
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงใช้นิ้วแทนกระบี่แหวกเปิดฟ้าดินขนาดเล็กซึ่งมีรัศมีขนาดสิบจั้งไว้ชั่วคราว
เทพีแห่งการต่อสู้ที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย
วันนี้เมื่อไม่มีพันธนาการจากตราผนึกใดๆ คนทั้งสองจึงเหมือนอยู่บนสนามต่อสู้ทั่วไปของใต้หล้าไพศาล กระบี่บิน สมบัติอาคม วิชาหมัด ขอแค่ทั้งสองฝ่ายยินดีล้วนเอาออกมาใช้ได้หมด
อีกทั้งก่อนจะประลองฝีมือกัน เซียนกระบี่ผู้เฒ่ายังบอกเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เหมือนกันด้วยว่า ทางที่ดีที่สุดควรลืมไปซะว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีทางตายอยู่บนกำแพงเมืองแห่งนี้ ให้คิดว่านี่คือศึกที่ตัดสินเป็นตายอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันลงมือเต็มที่ สามศึกล้วนพ่ายแพ้
ไม่รู้ว่าเฉาสือต้องกักเก็บพลังที่แท้จริงไว้เท่าไหร่ สรุปคือสามศึกชนะทุกศึก
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!